“มาริโอ้” ลั่นเป็นผู้เสียหาย โต้เอี่ยวแก๊งสวมทะเบียนรถ รุดให้ปากคำยืนยันบริสุทธิ์ใจ

หลังจากใช้เวลาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน ตำรวจไซเบอร์ ประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ พระเอกชื่อดัง “มาริโอ้ เมาเร่อ” พร้อมผู้จัดการส่วนตัวและทนายความ เดินออกมาจากห้องสอบปากคำที่ชั้น 3 ของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือตำรวจไซเบอร์ หลังเสร็จสิ้นการเข้าให้ปากคำ เนื่องจากมีชื่อเป็นหนึ่งในผู้ครอบครองรถ 65 คันที่ทางตำรวจไซเบอร์ตรวจยึดมาได้ จากคดีแฮกข้อมูลรถยนต์ในกรมการขนส่งทางบกเพื่อสวมทะเบียนรถยนต์โบราณทั้ง 65 คัน


โดย “มาริโอ้” เผยกับสื่อมวลชนสั้น ๆ ว่า วันนี้ตนเดินทางเข้ามาให้การในฐานะพยาน เพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจของตนเอง ยืนยันว่าสิ่งที่ตนเองทำไปนั้นถูกต้อง แต่รายละเอียดขอไม่เปิดเผย เพราะได้ให้การกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไปหมดแล้ว ขอให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย พร้อมระบุอีกว่าตนไม่กังวลใจแต่อย่างใด ก่อนมาริโอ้จะลงลิฟท์กลับไป

ทีมข่าวสังเกตเห็นว่า ในระหว่างการให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนในห้อง แม้มาริโอ้จะมีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่บ้าง แต่ยังมีรอยยิ้มอยู่บ้างเป็นระยะ ขณะที่ออกจากห้องสอบปากคำ มาริโอ้พยายามพูดขอบคุณสื่อมวลชนที่มาปักหลักทำข่าว


ด้าน พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนหลังจากสอบปากคำมาริโอ้แล้วเสร็จว่า ในส่วนของมาริโอ้ได้เข้าให้ปากคำในฐานะพยาน พร้อมกับรุ่นพี่ที่ขายรถให้มาริโอ้ ชื่อนายก้อง และพี่ชายของนายก้อง โดยทั้ง 3 คนนี้ ปรากฏอยู่ในรายชื่อเป็นผู้ครอบครองรถโบราณ 65 คันที่ถูกแฮกสวมทะเบียนปลอม

ด้านมาริโอ้เปิดเผยกับพนักงานสอบสวนว่า เขาซื้อรถ Mercedes Benz G300 มาจากนายก้อง ในราคา 1,500,000 บาท โดยมาริโอ้วางมัดจำไป 500,000 บาท ตกลงซื้อขายกันตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2565 โดยได้มอบหมายให้นายก้องเป็นผู้ดำเนินการเรื่องส่งมอบรถและเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองรถในทะเบียนเป็นชื่อของมาริโอ้ทันทีหลังตกลงทำสัญญา โดยตกลงกันว่าจะส่งมอบรถภายใน 60 วันนับแต่วันทำสัญญา

ทั้งนี้ มาริโอ้ยังไม่เคยเจอรถคันจริง เพียงแต่มาริโอ้รู้จักรถรุ่นนี้เป็นอย่างดีและเชื่อใจในตัวนายก้อง เพราะที่ผ่านมาเคยซื้อของเก่าจากนายก้องมาโดยตลอด ส่วนรถยนต์นั้นนี่เป็นครั้งแรกที่มาริโอ้ซื้อจากนายก้อง


ปรากฏว่าผ่านไปประมาณช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม ซึ่งครบ 60 วันนับแต่วันทำสัญญา นายก้องยังไม่ส่งมอบรถให้มาริโอ้ อ้างว่ารถยังอยู่ในระหว่างการประกอบ มาริโอ้จึงบอกเลิกสัญญา ซึ่งนายก้องก็ตกลงและคืนเงินมัดจำให้ 500,000 บาท

ส่วนเล่มทะเบียนนั้น นายก้องยังไม่ได้ส่งมอบให้มาริโอ้เพียงแต่แจ้งว่า เล่มดังกล่าวได้เปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองรถเป็นชื่อมาริโอ้แล้ว มาริโอ้จึงแจ้งให้นายก้องไปดำเนินการทางทะเบียนเปลี่ยนชื่อมาริโอ้ออก ซึ่งถึงตอนนั้นมาริโอ้เองก็ไม่ทราบว่า นายก้องได้เร่งดำเนินการทางทะเบียนให้แล้วหรือไม่ จนมาทราบภายหลังว่าเล่มทะเบียนดังกล่าวไม่สามารถเปลี่ยนชื่อได้ เพราะถูกกรมการขนส่งทางบกอายัดเล่มทะเบียนเอาไว้แล้วหลังจากเกิดคดีขึ้น

ส่วนรถยนต์ Mercedes Benz G300 คันดังกล่าว จากข้อมูลพยานหลักฐานที่ตำรวจสืบสวน พบว่าเป็นรถที่นายก้องได้ซื้อต่อมาจากพี่ชายของนายก้องมาอีกทอดหนึ่ง และพี่ชายนายได้ติดต่อซื้อรถคันดังกล่าวพร้อมกับรถอีกหลายคันมาจากนายเสถียร 1 ในผู้ต้องหา ที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ ซึ่งขณะนี้ ทางพนักงานสอบสวนอยู่ในระหว่างการสอบปากคำทั้งนายก้องและพี่ชายนายก้องอย่างละเอียด โดยเฉพาะระยะเวลาหลังจากที่นายก้องกับมาริโอ้บอกเลิกสัญญา ซึ่งทางตำรวจอยากรู้ว่า นายก้องได้เร่งดำเนินการเปลี่ยนชื่อในเล่มทะเบียนทันทีหรือรอเวลาจนกระทั่งคดีนี้แดงขึ้นมาจนเล่มถูกกรมการขนส่งทางบกอายัดเอาไว้ รวมทั้งเจตนาจงใจที่จะซื้อขายรถที่มีที่มาผิดกฎหมายจากการสวมทะเบียนรถยนต์หรือไม่

ขณะที่ตัวมาริโอ้เองนั้น ในระหว่างสอบปากคำมีท่าทางที่เครียดและกังวล แต่ยังมีความมั่นใจ และยืนยันในความบริสุทธิ์ใจของตนเองว่าไม่รู้เห็นหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการแฮกเข้าระบบของกรมการขนส่งทางบกหรือกรณีการซื้อขายรถผิดกฎหมาย โดยมาริโอ้ได้นำพยานเอกสารเป็นสำเนาสัญญาซื้อขายมามอบให้ ซึ่งทางพนักงานสอบสวนก็รับฟังไว้เป็นข้อมูล

ทั้งนี้ รถคันดังกล่าวในราคาตลาดมีมูลค่าสูงถึง 10 ล้านบาท ทว่าการซื้อขายระหว่างมาริโอ้และนายก้องอยู่ในราคา 1,500,000 บาทนั้น จะเป็นการขายต่ำกว่าตลาดหรือไม่ ทาง พล.ต.ต.อำนาจ มองว่าเรื่องนี้เป็นความพึงพอใจของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย จึงไม่น่ามีผลอะไรกับทางคดี แต่จะเข้าข่ายเป็นการจดทะเบียนประกอบรถยนต์โบราณหรือไม่ เรื่องนี้จะต้องขยายผลตรวจสอบจะพยานหลักฐานและจากการให้ปากคำอีกครั้ง

หลังจากนี้ พนักงานสอบสวนจะนำข้อมูลการให้ปากคำของมาริโอ้ นายก้องและพี่ชายของนายก้อง มาตรวจสอบและเปรียบเทียบร่วมกับคำให้การของผู้ครอบครองรถรายอื่น ๆ เพื่อหาความน่าเชื่อถือและวิเคราะห์ขยายผลทางคดีต่อไปว่า ใครมีส่วนรู้ร่วมเห็นกับการกระทำความผิดหรือไม่ หากพบก็จะดำเนินคดีต่อไป

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงกรณีของมาริโอ้ว่าจะเข้าข่ายความผิดฐานรับซื้อของโจรหรือไม่ พล.ต.ต.อำนาจ ระบุว่า ยังไม่เข้าข่าย เพราะมาริโอ้ยืนยันว่าไม่รับรู้มาก่อนว่ารถคันนี้มาจากการกระทำความผิด แต่ยังไงก็ตามทางพนักงานสอบสวนก็ต้องเปรียบเทียบคำให้การของมาริโอ้กับนายก้องและพี่ชายนายก้อง ก่อนจะวิเคราะห์หาความน่าเชื่อถือโดยละเอียดอีกครั้ง

ส่วนเรื่องการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงนั้น ทางมาริโอ้ได้พูดคุยกับตำรวจเบื้องต้นแล้ว เพราะมาริโอ้เองมองว่า ตนก็เป็นผู้เสียหายที่ซื้อรถแต่ไม่ได้รถ อย่างไรก็ตาม มาริโอ้จะประสงค์แจ้งความดำเนินคดีฐานฉ้อโกงเพิ่มเติมอีกหรือไม่นั้น ถือเป็นเรื่องส่วนตัวของมาริโอ้ ส่วนผู้ครอบครองรถรายอื่น ยังไม่มีใครประสงค์แจ้งความดำเนินคดีฐานฉ้อโกงเช่นกัน.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน

เข้าชม 157 ครั้ง
ดูข่าวเพิ่มเติม