ตร. เตือนประชาชน ระวัง! โดนหลอกลงทุนธุรกิจขายตรง แต่เบื้องหลังเป็นแชร์ลูกโซ่

วันนี้ (9 ตุลาคม 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ เนื่องจากทั้งในอดีตและปัจจุบันมีพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพที่มาในรูปแบบของการชักชวนให้ลงทุนในธุรกิจ ผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ หรือการจัดสัมมนาในความรู้ บางครั้งก็จะมาในรูปแบบของการลงทุนในธุรกิจ การขายตรง หลอกลวงว่าจะได้รับผลตอบแทนสูง และมักจะมีรายได้จากการชักชวนสมาชิกใหม่มาร่วมธุรกิจ เช่น คดียูฟัน (Ufund) คดีแม่ชม้อย รวมถึงคดี FOREX-3D เป็นต้น


ล่าสุดสังคมกำลังจับตาเกี่ยวกับประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ กรณี บริษัทขายตรงชื่อดัง ที่ใช้ดาราตัวท็อปของเมืองไทยเป็นพรีเซ็นเตอร์รวมถึงนั่งแท่นบริหาร เปิดธุรกิจขายตรง สร้างดาวน์ไลน์ ขายฝันให้ประชาชนมาร่วมลงทุน สุดท้ายไม่เป็นตามที่พูด สร้างความเสียหายต่อประชาชนมากมาย บางคนมีหนี้สินเพิ่มขึ้น บางคนคิดสั้นจบชีวิตตัวเองเพราะสิ้นเนื้อประดาตัว งานนี้ชาวเน็ตมีการเปิดเผยโฉมหน้าดาราที่นั่งแท่นผู้บริหาร ได้แก่ แซม ยุรนันท์ ภมรมนตรี ตำแหน่ง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Chief Research Officer: CRO) , มิน พีชญา วัฒนามนตรี ตำแหน่ง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร (Chief Communication Officer: CCO) และ กันต์ กันตถาวร ตำแหน่ง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด (Chief Marketing Officer: CMO) ทีมข่าวไนน์เอ็นเตอร์เทนไม่รอช้า รีบติดต่อไปยังดาราทั้ง 3 รายเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ซึ่ง แซม ยุรนันท์ ยอมรับว่านั่งแท่นผู้บริหารบริษัทดังจริง แต่ดูแลแค่เรื่องคุณภาพสินค้า ลั่น! ถ้าบริษัทผิดจริงขออยู่ข้างประชาชน เสียใจมีคนเดือดร้อน ด้าน มิน พีชญา รอแถลง ส่วน กันต์ กันตถาวร ไม่สะดวกคุยตอนนี้

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอเตือนพี่น้องประชาชน ให้ระมัดระวังในการลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจลักษณะขายตรง ที่อาจเข้าข่ายเป็นขบวนการแชร์ลูกโซ่ หรือหลอกลวงประชาชน โดยมีข้อสังเกตดังนี้


  1. โมเดลแชร์ลูกโซ่ – หากโครงสร้างธุรกิจเน้นการรับสมัครคนใหม่เข้าร่วมมากกว่าการขายสินค้าหรือบริการจริง โมเดลนี้ทำให้รายได้หลักมาจากการชักชวนสมาชิกใหม่และเก็บเงินค่าสมัคร แทนที่จะเกิดจากการขายสินค้า
  2. การขายสินค้าหรือบริการที่ไม่ตรงความจริง – หากสินค้าหรือบริการที่เสนอขายไม่มีคุณภาพ ไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่โฆษณาไว้ หรือไม่มีสินค้าจริงในการจำหน่าย แต่มีการหลอกลวงเพื่อเก็บเงินจากผู้ร่วมธุรกิจ
  3. การบังคับซื้อสินค้าหรือการลงทุนจำนวนมาก – หากบริษัทบังคับให้ผู้สมัครเข้าร่วมต้องลงทุนจำนวนมากในการซื้อสินค้าเกินความจำเป็น หรือกักตุนสินค้าโดยไม่สามารถขายออกได้จริง
  4. การใช้ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือหลอกลวง – หากบริษัทนำเสนอข้อมูลทางธุรกิจหรือรายได้ที่เกินจริง โฆษณาผลตอบแทนที่สูงเกินจริงโดยไม่สามารถทำได้ตามสัญญา
  5. การไม่มีใบอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง – ธุรกิจขายตรงในประเทศไทยต้องได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
  6. ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายการคุ้มครองผู้บริโภค – หากธุรกิจไม่ให้ข้อมูลที่ชัดเจนแก่ผู้บริโภค ไม่สามารถคืนเงินหรือเปลี่ยนสินค้าตามที่กฎหมายกำหนด หรือไม่มีการคุ้มครองสิทธิ์ของผู้บริโภค ก็อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย

ถ้าพี่น้องประชาชนพบเห็นธุรกิจในลักษณะดังกล่าว หรือสงสัยว่าอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิด สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 เพื่อที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะได้ดำเนินการตรวจสอบต่อไป หากได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ และหากเป็นคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ สายด่วน 1441 หรือเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th ได้ตลอด 24 ชั่วโมง.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน

เข้าชม 493 ครั้ง
ดูข่าวเพิ่มเติม