ไม่เสียทีที่นำโด่งเข้าชิงมากสุดถึง 13 สาขา เมื่อหนังรักล้ำๆ เรื่อง The Shape of Water เป็นดาวเด่นของงานแจกรางวัล ออสการ์ ครั้งที่ 90 เพราะไม่เพียงเก็บรางวัลกลับบ้านไปมากที่สุดถึง 4 สาขา แต่ยังเป็นเจ้าของรางวัลใหญ่สุด ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม ที่ “กีเยโม่ เดล โตโร่” ถือเป็นเต็งหนึ่งในสาขานี้ โดย “กีเยโม่” ยังเป็นผู้กำกับชาวเม็กซิกันที่คว้ารางวัลออสการ์ ต่อจากเพื่อนซี้ “อเลฮานโดร อินาริตู” และ “อัลฟองโซ่ คัวรอง” พร้อมพ่วงด้วยรางวัล ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม และ ออกแบบงานสร้างยอดเยี่ยม ไปด้วย
ขณะที่รางวัลนักแสดงนำชายและหญิงยอดเยี่ยม ก็ไม่พลิกโผเช่นกัน เมื่อพระเอกมากฝีมือ “แกรี่ โอลด์แมน” ประเดิมรางวัลออสการ์ตัวแรกในชีวิต จากบทนายกรัฐมนตรีอังกฤษ “วินสตั้น เชอร์ชิล” ในหนังอิงประวัติศาสตร์เรื่อง Darkest Hour แบบไม่มีข้อกังขา เช่นเดียวกับ นางเอกรุ่นใหญ่วัย 60 ปี “ฟรานเซส แมคดอร์มาน” ที่เล่นเหมารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จากทุกเวที ไม่เว้นแม้แต่ออสการ์ จากหนังเรื่อง Three Billboards Outside Ebbing , Missouri ซึ่งนี่ถือเป็นออสการ์ตัวที่ 2 ของ “ฟรานเซส” หลังจากเธอเคยคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมมาแล้วเมื่อ 21 ปีก่อนจากเรื่อง Fargo แต่ดูเหมือนว่า ชัยชนะของ “ฟรานเซส” จะไม่น่าประทับใจเท่ากับ คำพูด และลีลาระหว่างขึ้นรับรางวัล ที่เธอเรียกร้องให้เพื่อนนักแสดง และคนในวงการ ใส่ใจกับความเท่าเทียม และความหลากหลายทางเพศมากขึ้น
ส่วน “จอร์แดน พีล” จากหนังเรื่อง Get Out แม้จะชวดรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมไป แต่ก็ไม่ได้กลับบ้านมือเปล่า เพราะเป็นเจ้าของรางวัล บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม พร้อมกับสร้างสถิติเป็นมือเขียนบทผิวสีคนแรกที่คว้ารางวัลนี้ไปครอง
ขณะที่ “เจมส์ ไอวอรี่” เจ้าของรางวัล บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม จากหนังเรื่อง Call Me By Your Me ก็ไม่น้อยหน้า สร้างสถิติเป็นผู้ชนะบนเวทีออสการ์ที่อายุมากที่สุด นั่นคือ 89 ปี
และที่น่าดีใจกว่าใครเพื่อน เห็นจะเป็น ผู้กำกับภาพ “โรเจอร์ ดีกิ้นส์” ที่หลังจากต้องพลาดหวังมาถึง 13 ครั้ง ในที่สุดก็มีโอกาสขึ้นรับรางวัลออสการ์ สาขา ผู้กำกับยอดเยี่ยมกับเขาสักกะที จากผลงานเรื่อง Blade Runner 2049 นั่นเอง
นอกจากการลุ้นผลรางวัลสำคัญๆ แล้ว ออสการ์ปีนี้ ยังมีประเด็นให้พูดถึง เริ่มจากการกลับมาทำหน้าที่พิธีกรอีกครั้งของ “จิมมี่ คิมเมล” ที่ยังคงได้รับเสียงชื่นชมว่า เขาสามารถหยิบยกประเด็นฉาวข่าวใหญ่ในสังคมมาหยิกแกมหยอกให้ได้ฮาแบบไม่เลยเถิดจนเกินไป และดูเหมือนว่าปีนี้ “จิมมี่” คงจะเบื่อกับการพูดถึง ท่านผู้นำสหรัฐ “โดนัลด์ ทรัมป์” ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานานซะแล้ว เพราะเขาเน้นเรื่องอื่นๆ มากกว่า ทั้งประเด็นการคุกคามทางเพศ ที่หนีไม่พ้นพาดพิงถึง “ฮาร์วี่ย์ ไวน์สตีน” อดีตเจ้าพ่อหนังอินดี้ หรือจะเป็นเรื่องความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ ที่นางเอกสาว “มิเชล วิลเลี่ยมส์” ได้ค่าตัวน้อยกว่า “มาร์ค วอห์ลเบิร์ก” ซึ่งเป็นพระเอกของเรื่องหลายเท่าตัว ทั้งที่เล่นหนังเรื่องเดียวกัน และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ การเปิดจดหมายผิดซอง ในงานออสการ์ปีก่อน ที่จิมมี่ ยิงมุขว่า ทันทีที่ได้ยินชื่อตัวเองเป็นผู้ชนะก็อย่าเพิ่งรีบมารับรางวัล เพราะอาจจะผิดตัวก็เป็นได้
มาถึงมุขประจำตัวของ “จิมมี่” กับการเซอร์ไพรส์ผู้ชมแบบไม่ให้ตั้งตัว โดยหลังจากปีก่อน เขาให้นักท่องเที่ยวโผล่มาใน “ดอลบี้ เธียเตอร์” ระหว่างถ่ายทอดสด มาปีนี้ “จิมมี่” ก็ลงทุนพาดาราในงาน โผล่ไปทักทายคอหนังที่กำลังนั่งชมภาพยนตร์ ในโรงหนังไชนีสเธียเตอร์ ซึ่งอยู่ข้างๆกับ “ดอลบี้ เธียเตอร์” จนคอหนังผู้โชคดี เป็นปลื้มกันยกใหญ่
แต่ที่เด็ดสุด คือ มุขแจกเจ็ทสกีให้กับ ผู้คว้ารางวัล ที่ขึ้นกล่าวระหว่างรับรางวัลได้สั้นที่สุดในปีนี้ โดยที่ นางเอกรุ่นใหญ่ “เฮเลน เมียเรน” ก็ยอมมาเป็นคนพรีเซ็นต์สินค้าให้อีกต่างหาก งานนี้บอกเลยว่า ไม่ใช่แค่มุขขำๆ เพราะ “จิมมี่” แจกจริง และคนที่ได้ไป ก็คือ “มาร์ค บริดเจส” ผู้ชนะในสาขา ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม จากหนังเรื่อง Phantom Thread นั่นเอง
ที่สำคัญ ออสการ์ปีนี้ ประวัติศาสตร์ไม่ซ้ำรอย มี่มีการประกาศชื่อรางวัลผิด แม้ผู้จัดงาน จะให้ “เฟย์ ดันนาเวย์” และ “วอร์เรน เบ็ตตี้” มาแก้มือประกาศรางวัลใหญ่ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเหมือนเดิม แต่งานนี้ไม่มีกรณีจดหมายผิดซอง เพราะผู้จัดงาน ลงทุนเขียนชื่อรางวัลบนซองให้เห็นเด่นเป็นสง่าชัดเจนกันไปเลย ถึงอย่างนั้น ผู้กำกับ “กีเยโม่ เดล โตโร” ก็ยังไม่วายแอบส่องผลรางวัลในซองอีกรอบเพื่อให้มั่นใจว่าหนังเรื่อง The Shape of Water ของเขา คือผู้ชนะตัวจริงไม่มีมั่วอีกด้วย