รพ.จุฬาฯเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ รักษาผู้ป่วยยากไร้และไร้สัญชาติฟรี 8 โครงการ

 
60 พรรษา อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย
รพ.จุฬาลงกรณ์ เปิดโครงการพิเศษ บริการผู้ป่วยยากไร้ฟรี
 
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย  เปิดแถลงข่าว บริการทางการแพทย์เฉลิมพระเกียรติ  60 พรรษา  สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 ให้บริการรักษาผู้ป่วยยากไร้ ด้อยโอกาส ที่มีภาวะโรคซับซ้อนยากแก่การรักษา หรือมีค่าใช้จ่ายสูง  รวมถึงประชากรไทยที่ไร้สัญชาติในพื้นที่ภูมิภาคได้มีโอกาสใช้สิทธิในการเป็นพลเมืองของประเทศไทย  โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ณ ห้องประชุมมงคลนาวิน ตึก สก ชั้น 10  
 
รองศาสตราจารย์นายแพทย์โศภณ นภาธร ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  กล่าวว่า  ในปี 2558 นับเป็นปีมหามงคลที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา 2 เมษายน 2558  เพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์  สภากาชาดไทย และ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมจัดทำโครงการบริการทางการแพทย์เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา และสาธารณสุขขึ้น  เนื่องจากปัจจุบันยังมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการรักษาพยาบาลตามมาตรฐานได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีภาวะโรคซับซ้อนยากแก่การรักษา หรือโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น โครงการดังกล่าวจึงเป็นช่องทางให้ผู้ป่วยยากไร้ สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้เป็นกรณีพิเศษ ซึ่งมีทั้งหมด 8 โครงการ ได้แก่
1. โครงการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดรักษาโรคทางโลหิตวิทยา    6 ราย
2. โครงการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออติกแบบผ่านท่อ ทางผนังหัวใจห้องล่างซ้าย    6 ราย
3. โครงการผ่าตัดปลูกถ่ายไต  60 ราย
4. โครงการผ่าตัดแก้ไขจอตาลอกหลุด  60 ราย
5. โครงการผ่าตัดรักษาโรคมะเร็งกระดูกด้วยข้อโลหะเทียมชนิดพิเศษ   6 ราย
6. โครงการผ่าตัดรักษาโรคมะเร็งทางนรีเวชวิทยาด้วยหุ่นยนต์ 10 ราย
7. โครงการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งด้วยเทคโนโลยีการฉายรังสีขั้นสูง 300 ราย
(มะเร็งโพรงจมูก, มะเร็งปากมดลูก, มะเร็งสมอง, มะเร็งปอด, มะเร็งเต้านม)
8. โครงการตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์สัญชาติไทยในบุคคลไร้สัญชาติ 660 ครอบครัว
 
รศ.นพ.โศภณ นภาธร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า…กิจกรรมพิเศษเฉลิมพระเกียรติฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีอุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย เนื่องในวโรกาสมหามงคลครั้งนี้ เป็นกิจกรรมพิเศษที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เปิดให้บริการแก่ผู้ป่วยยากไร้ ด้อยโอกาส ที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีค่าใช้จ่ายสูงได้ เพื่อเป็นการสร้างเสริมคุณภาพชีวิตให้สามารถดำรงชีวิตในสังคมได้เป็นปกติ  รวมทั้งช่วยเหลือตนเองและครอบครัวได้  ผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมทำบุญสร้างกุศลช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ ในโครงการต่างๆ  ( 8โครงการ)  โดย บริจาคผ่านบัญชีออมทรัพย์ ชื่อ “โครงการบริการทางการแพทย์ เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา” ที่ 
 
ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่บัญชี    405-7-97033-1 สาขาสภากาชาดไทย
ธนาคารกสิกรไทย เลขที่บัญชี    623-2-16577-2 สาขาโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 
ธนาคารกรุงเทพ เลขที่บัญชี    913-7-01524-5 สาขาโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
 
หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ Call Center   02-256-4000 ,02-649-4000 (ในวันและเวลาราชการ)  
 
 
 
 
รายละเอียด “โครงการบริการทางการแพทย์ เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา”
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  
อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย
 
โครงการ “บริการทางการแพทย์เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา”  เป็นกิจกรรมพิเศษที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกันจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิม  พระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 เพื่อให้บริการรักษาผู้ป่วยยากไร้สามารถเข้าถึงการรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีค่าใช้จ่ายสูง รวมถึงประชากรที่ไร้สัญชาติได้มาซึ่งสิทธิในการเป็นพลเมืองของประเทศไทย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย กิจกรรมพิเศษดังกล่าวประกอบด้วยโครงการย่อย  8 โครงการดังนี้
 
1.โครงการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดรักษาโรคทางโลหิตวิทยาจำนวน 6 ราย
แพทย์ผู้รับผิดชอบโครงการ : ผศ.นพ.อุดมศักดิ์ บุญวรเศรษฐ์ ศูนย์การรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด
      เม็ดเลือด ฝ่ายอายุรศาสตร์
โครงการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดรักษาโรคทางโลหิตวิทยา  โดย ฝ่ายอายุรศาสตร์ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคทางโลหิตวิทยาโดยเฉพาะมะเร็งโลหิต เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ตลอดจนภาวะไขกระดูกล้มเหลว เช่น ภาวะไขกระดูกฝ่อ เป็นปัญหาสำคัญทางโลหิตวิทยา ซึ่งยังมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาเบื้องต้นด้วยยาเคมีบำบัด หรือยากดภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ผู้ป่วยส่วนหนึ่งมีการกลับเป็นโรคซ้ำภายหลังจากการตอบสนองโดยการรักษาในเบื้องต้น ทางเลือกการรักษาในผู้ป่วยเหล่านี้ค่อนข้างจำกัด การรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดเป็นเพียงทางเลือกเดียวที่มีโอกาสรักษาผู้ป่วยเหล่านี้ ให้มีโอกาสหายขาดจากโรคดังกล่าวโดยการปลูกถ่ายด้วยเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากผู้บริจาคที่เป็นญาติและผู้บริจาคที่ไม่ใช่เครือญาติ แต่ขาดทุนทรัพย์ จำนวน 6 รายโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
 
2.โครงการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออติกแบบผ่านท่อ ทางผนังหัวใจห้องล่างซ้ายจำนวน  6 รายแพทย์ผู้รับผิดชอบโครงการ : อ.นพ.พัชร  อ่องจริต  หน่วยศัลยกรรมทรวงอกและหัวใจ ฝ่ายศัลยศาสตร์
โรคลิ้นหัวใจเอออติกตีบ เป็นโรคที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไป การรักษามาตรฐานในผู้ป่วยภาวะนี้คือการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออติกแบบเปิด (Open Aortic Valve Replacement) ซึ่งต้องนำผู้ป่วยเข้า cardiopulmonary bypass และหยุดหัวใจเพื่อเปิดเข้าเปลี่ยนลิ้นที่ตีบด้วยลิ้นเทียม แต่ในผู้ป่วยบางกลุ่ม ได้แก่ ผู้ป่วยที่อายุเกิน 80 ปี และผู้ที่มีสภาพร่างกายไม่เหมาะสมกับการผ่าตัดแบบเปิด เช่น มีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ร่วมด้วย  การผ่าตัดในคนไข้กลุ่มนี้มีอัตราการเสียชีวิตและภาวะแทรกซ้อนที่สูง จนบางครั้งไม่คุ้มค่าต่อความเสี่ยงที่จะนำไปผ่าตัด  ดังนั้นฝ่ายศัลยกรรมทรวงอก จึงจัดทำโครงการผ่าตัด เปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออติกแบบผ่านท่อ(TAVI)  ผ่านทางผนังหัวใจ (trans apical) ให้แก่ผู้ป่วยจำนวน 6 ราย โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
 
3. โครงการผ่าตัดปลูกถ่ายไตจำนวน 60 ราย
แพทย์ผู้รับผิดชอบโครงการ : ศ.นพ.ยิ่งยศ อวิหิงสานนท์  ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกถ่ายไต ฝ่ายอายุรศาสตร์    
เนื่องด้วยการให้บริการปลูกถ่ายไตถือเป็นพันธกิจสำคัญประการหนึ่งของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อสร้างความเป็นเลิศทางวิชาการตามยุทธศาสตร์ศูนย์ความเป็นเลิศด้านงานปลูกถ่ายอวัยวะ  โดยโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เป็นสถาบันแรกในประเทศไทยที่ทำผ่าตัดปลูกถ่ายไตมานานกว่า 3 ทศวรรษ    ปัจจุบัน ความต้องการรับบริการจากผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว  ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการรณรงค์ให้มีการบริจาคไต และอีกส่วนหนึ่งมาจากการสนับสนุนโดยตรงจากกองทุนรักษาพยาบาลทั้ง 3 กองทุน  จนอาจกล่าวได้ว่าผู้ป่วยไทยทุกคนมีสิทธิ์ได้รับการปลูกถ่ายไต แต่ด้วยอัตราการผ่าตัดจาก living-donor ในเวลาราชการมีเพียง 1 ถึง 2 รายต่อเดือน ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการ  คณะกรรมการปลูกถ่ายไตจึงมีดำริให้มีโครงการผ่าตัดปลูกถ่ายไตจาก living donor นอกเวลาราชการขึ้น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550  และในวโรกาสเฉลิมพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 หน่วยโรคไตจึงได้จัดโครงการผ่าตัดปลูกถ่ายไตให้กับผู้ป่วยจำนวน 60 ราย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
 
4. โครงการผ่าตัดแก้ไขจอตาลอกหลุดจำนวน 60 ดวงตา
แพทย์ผู้รับผิดชอบโครงการ :  อ.นพ.อดิศัย วราดิศัย  หน่วยจอตา  ฝ่ายจักษุวิทยา
       อ.พญ. แพร์ พงศาเจริญนนท์  หน่วยจอตา  ฝ่ายจักษุวิทยา 
สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งของภาวะที่ทำให้คนเราตาบอดคือ โรคจอประสาทตาลอก ซึ่งเป็นโรคตาที่พบบ่อยในคนไทย  มีสาเหตุต่างๆ เช่น จอตาลอกเนื่องจากการฉีกขาดของจอตา จอตาลอกเนื่องจากพังผืดดึงรั้งจากภาวะเบาหวานขึ้นตา เป็นต้น นำไปสู่การมองเห็นที่ลดลงหรือมองไม่เห็นแบบถาวร การรักษาโรคนี้ทำโดยการผ่าตัดแก้ไขจอตาลอก ได้แก่ การฉีดแก๊สในลูกตาและจี้เลเซอร์ การผ่าตัดวุ้นตา และใส่แก๊ส หรือ ซิลิโคนในลูกตา การผ่าตัดใส่ยางรัดลูกตา ซึ่งการรักษาจอตาลอกหลุดนั้น ควรได้รับการรักษาในระยะเวลาอันเหมาะสม เนื่องจากหากปล่อยภาวะนี้ทิ้งไว้นาน อาจทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นโดยถาวรได้   ในปัจจุบันผู้เข้ารับการผ่าตัด จอตาลอกใน รพ.จุฬาลงกรณ์ มีปริมาณมาก โดยคิวรอคอยในการผ่าตัดทางจอประสาทตา มีระยะการรอคอยไปจนถึงปี 2559    ฝ่ายจักษุวิทยา   รพ.จุฬาลงกรณ์ จึงจัดโครงการ ผ่าตัดแก้ไขจอตาลอก เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ให้แก่ผู้ป่วยที่มีความขัดสน  จำนวน 60  ดวงตาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 
 
5. โครงการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งกระดูกด้วยข้อโลหะเทียมชนิดพิเศษจำนวน 6 ราย
แพทย์ผู้รับผิดชอบโครงการ : อ.นพ.ชินดนัย  หงสประภาส  หน่วยวิทยาเนื้องอกทางออร์โธปิดิกส์  
      ฝ่ายออร์โธปิดิกส์
โรคมะเร็งกระดูกคือมะเร็งที่เกิดจากเซลล์กระดูกเจริญเติบโตผิดปกติจนกลายเป็นเนื้องอก ถือเป็นมะเร็งที่พบได้น้อย โรคมะเร็งกระดูกบางชนิดอาจใช้วิธีการผ่าตัดรักษาเพียงอย่างเดียว แต่บางชนิดอาจใช้วิธีควบคู่กันทั้งการผ่าตัดการให้ยาเคมีบำบัดและการใช้รังสีรักษา การผ่าตัดรักษาโรคมะเร็งกระดูกจะทำการตัดกระดูกและเนื้อเยื่อรอบข้างออก ซึ่งส่วนใหญ่สามารถผ่าตัดเอาเนื้องอกออกได้โดยไม่ต้องตัดแขนหรือขาที่เป็นโรค หลังจากนั้นจะใส่โลหะข้อเทียมหรือกระดูกบริจาค มาแทนที่กระดูกที่ถูกตัดออกไป ในปัจจุบันมีวิวัฒนาการในการรักษาที่พัฒนาขึ้นมาก การผ่าตัดโดยใช้ข้อโลหะเทียมชนิดพิเศษถือเป็นการรักษาที่เป็นมาตรฐานและมีประสิทธิภาพเพราะวัสดุที่ใช้มีความแข็งแรง ทนทาน ผู้ป่วยสามารถใช้งานแขนหรือขาที่เป็นโรคได้ทันทีภายหลังจากได้รับการผ่าตัด แต่ข้อโลหะเทียมชนิดพิเศษนี้มีข้อจำกัดด้านราคาที่สูงกว่าวิธีอื่นๆโดยมีราคาเฉลี่ยต่อชิ้นอยู่ที่ประมาณ 400,000 บาทในวโรกาสเฉลิมพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558     ฝ่ายออร์โธปิดิกส์จึงได้จัดทำโครงการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งกระดูกด้วยข้อโลหะเทียมชนิดพิเศษจำนวน 6 ราย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
 
6.โครงการผ่าตัดรักษาโรคมะเร็งทางนรีเวชวิทยาด้วยหุ่นยนต์จำนวน 10 ราย  
แพทย์ผู้รับผิดชอบโครงการ : อ.นพ.นครินทร์  ศิริทรัพย์  ฝ่ายสูติศาสตร์ – นรีเวชวิทยา 
ปัจจุบันวิทยาการของการผ่าตัดได้ก้าวหน้าไปมาก ชุดเครื่องมือผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ Robotic surgery ได้รับการพัฒนาและออกแบบให้สามารถทำผ่าตัดได้ดีขึ้น ในบางระบบอวัยวะที่การผ่าตัดเปิดหน้าท้องหรือการผ่าตัดด้วยกล้อง (Laparoscopic surgery ) ยังมีข้อจำกัด เช่น การผ่าตัดมะเร็งเยื่อบุมดลูก การเลาะต่อมน้ำเหลืองในอุ้งเชิงกราน เป็นต้น  เนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา ฝ่ายสูติศาสตร์ –  นรีเวชวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จึงจัดตั้งโครงการให้บริการผ่าตัดสตรีที่มีโรคของอวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งมีข้อบ่งชี้ที่ควรได้รับการผ่าตัดด้วย  Robotic surgery และเป็นผู้ยากไร้ด้วยการผ่าตัดรักษาโรคมะเร็งทางนรีเวชวิทยาด้วยหุ่นยนต์จำนวน  10 ราย โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย 
 
7. โครงการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งด้วยเทคโนโลยีการฉายรังสีขั้นสูงจำนวน 300 ราย
แพทย์ผู้รับผิดชอบโครงการ : ผศ.นพ.ชลเกียรติ ขอประเสริฐ ฝ่ายรังสีวิทยา
      อ.นพ.จักรพงษ์  จักกาบาตร์     ฝ่ายรังสีวิทยา
เพื่อเฉลิมฉลองและถวายเป็นพระราชกุศล ในวโรกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ  สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ทรงเจริญพระชนมายุ ครบ 60 พรรษา ฝ่ายรังสีวิทยาได้จัดทำโครงการให้การรักษาด้วยเทคโนโลยีการฉายรังสีขั้นสูงแก่ผู้ป่วยมะเร็งชนิดต่างๆ ดังนี้ มะเร็งโพรงจมูก มะเร็งปากมดลูก มะเร็งสมอง มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม จำนวน 300 ราย
 
 
8.โครงการตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์สัญชาติไทยในบุคคลไร้สัญชาติ 660 ครอบครัว
แพทย์ผู้รับผิดชอบโครงการ :  อ.นพ.กรเกียรติ วงศ์ไพศาลสิน ฝ่ายนิติเวชศาสตร์
ในระบบทะเบียนราษฎรนั้น การระบุสัญชาติไทยแก่บุคคลที่ไร้สัญชาติ จำเป็นต้องได้รับการพิสูจน์ทั้งทางเอกสาร การยืนยันบุคคลจากญาติพี่น้อง รวมถึงการใช้กระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ เช่น ดีเอ็นเอเพื่อการยืนยันความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ในอดีตการใช้เพียงหลักฐานเอกสาร และพยานบุคคลข้างต้นประกอบการขอสัญชาตินั้น ทำให้เกิดปัญหาในความน่าเชื่อถือของหลักฐาน ส่งผลให้มีการระบุสัญชาติผิด  ด้วยความก้าวหน้าทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ ในการตรวจสารพันธุกรรมในการระบุเอกลักษณ์บุคคลสามารถนำมาใช้ในการเชื่อมโยงหาความสัมพันธ์ให้กับบุคคลที่ไร้สัญชาติ ซึ่งอาจมีบิดา มารดา หรือ พี่น้องร่วมบิดา และ/หรือ มารดาเดียวกัน ที่มีสัญชาติไทยโดยถูกต้องตามกฎหมาย  ทั้งนี้ การเข้าถึงบริการการตรวจทางดีเอ็นเอยังมีข้อจำกัดในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการตรวจที่ค่อนข้างสูง  ส่งผลให้กลุ่มบุคคลที่ไร้สัญชาติหรือบุคคลที่มีรายได้น้อย  ไม่สามารถเข้าถึงการบริการได้ อีกทั้งหน่วยงานที่มีศักยภาพความสามารถในการตรวจด้วยวิธีดังกล่าวมีจำนวนน้อย  ทำให้ระบบการพิสูจน์สัญชาติยังขาดซึ่งหลักฐานการตรวจสารพันธุกรรมที่มีความแม่นยำสูง และเป็นข้อมูลที่สำคัญในการระบุสัญชาติซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ 
หน่วยนิติเซโรวิทยา ฝ่ายนิติเวชศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย  จึงจัดโครงการเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการพิสูจน์และระบุสัญชาติไทยให้แก่บุคคลไร้สัญชาติ  ในพื้นที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงการบริการ  ให้ได้รับการบริการอย่างครบถ้วนและถูกต้อง และได้มาซึ่งสิทธิในการเป็นพลเมืองของประเทศไทย โดยจะให้บริการตรวจสารพันธุกรรมในบุคคลไร้สัญชาติ ในพื้นที่ภูมิภาค โดยไม่มีค่าใช้จ่าย จำนวน 660 ครอบครัว  (ประมาณ 1,980 ตัวอย่าง) 
 
 
เข้าชม 34 ครั้ง


ดูข่าวเพิ่มเติม

ข่าวแนะนำ