ผลของการไม่ใส่ใจ! เอสเธอร์ ขอห่าง เคน หมดความรู้สึกแบบคนรัก ภาพความสัมพันธ์เลือนลาง

คลุมเครือมานานสำหรับสัมพันธ์รักของนางเอกสาว เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา กับ พระเอกหนุ่ม เคน ภูภูมิ ว่าตกลงยังรักกันหวานฉ่ำหรือจืดจางลงแล้วตามกาลเวลา เพราะก่อนหน้านี้ในช่วงที่ เคน บินไปเรียนภาษาที่ประเทศอังกฤษ เอสเธอร์ ให้สัมภาษณ์คล้ายรักกำลังมีปัญหา กำลังตัดสินใจว่าจะหยุดหรือไปต่อ ล่าสุด เคน บินกลับถึงเมืองไทยแล้ว ยอมรับว่ารักมีปัญหาจริง เพราะตัวเองใส่ใจแฟนสาวน้อยเกินไป ตอนนี้กำลังเดินหน้าจีบใหม่ วอนพี่ ๆ สื่อช่วยง้อแฟนสาว


ด้าน เอสเธอร์ หลัง เคน ให้สัมภาษณ์เสร็จก็ออกมาให้ส้มภาษณ์ต่อว่า “ที่พี่เคนบอกว่าเหมือนเริ่มจีบใหม่ หนูเองก็ไม่รู้จะตอบยังไง ความสัมพันธ์ตอนนี้อาจจะต้องถอยกลับมา อย่างที่เคยบอกไปว่าระหว่างหนูกับพี่ เราไม่ได้รู้สึกเหมือนคู่รัก เรารู้สึกเหมือนเขาเป็นคนในครอบครัวที่เราเป็นห่วงเป็นใยซึ่งกันและกัน แต่ความรู้สึกที่เราคบกันแบบคนรักกัน ณ ตรงนั้นมันไม่มีแล้ว ไม่เหลือแล้ว เราก็บอกเขาไปอย่างนี้ตรง ๆ ด้วยค่ะ ต้องบอกว่าจริง ๆ คู่ของหนูมันมีปัญหาที่ใหญ่และหนักในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ในระหว่างที่คบกันแต่แค่เลือกที่จะไม่ได้พูด เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องในบ้าน เราก็อยากที่จะเก็บไว้ แต่มันยาวมาจนถึงตอนนี้ เราก็เลยรู้สึกว่าถ้าความสัมพันธ์ของทั้งคู่มันเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ มันก็ไม่ดีทั้งต่อตัวเราเองและพี่เขาด้วย เราก็เลยเลือกที่จะคุยกับเขาตรง ๆ ก่อนหน้านั้น 5 ปีที่ผ่านมาเราพยายามปรับตัว พยายามทำให้มันดีขึ้น แต่มันก็กลับมาอยู่ในจุดเดิมที่เรารู้สึกว่ามันไม่ได้มีการพัฒนาขึ้น เราไม่ได้มีข้อตกลงอะไรกัน แต่มันผิดตรงที่คู่ของเราไม่สื่อสารกัน เป็นคู่ที่ไม่ได้ดูแล ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของความสัมพันธ์จนวันหนึ่งเราลืมตาขึ้นมาแล้วเรารู้สึกว่าทำไมความสัมพันธ์ของเรามันเป็นแบบนี้ ทำไมมันไม่ดี ทำไมมันยิ่งแย่ลง ทำไมมันไม่ดีขึ้น จนเราต้องกลับมาคิดว่าเราควรจะแก้ไขยังไงดี ถามว่าเวลาที่ห่างกันในช่วงที่พี่เขาไปเรียนต่อต่างประเทศเกี่ยวไหม ไม่เกี่ยวนะคะ แต่หนูแค่มองตรงจุดที่ว่าเราอายุเยอะทั้งคู่แล้ว ถ้ามันไม่ได้ดีขึ้น หรือคบกันแล้วมันไม่ได้ทำให้ทั้งคู่มีความสุข เราต้องหันมามองไหมว่าเราจะเอายังไงต่อกับชีวิต เพราะถ้าเราคบกันไปอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ก็เหมือนจะเสียเวลาด้วยกันทั้งคู่”

“พี่เคนบอกทุกคนว่าเขาจะเดินหน้าง้อ หนูไม่ได้ปิดนะคะ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าอนาคตเราจะเป็นยังไง แต่ ณ ตอนนี้ความสัมพันธ์มันไม่ได้รู้สึกเหมือนคนรักกัน มันก็ต้องเริ่มสร้างใหม่แหละของแบบนี้ อยู่ที่ว่าเราก็ต้องเริ่มเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ว่าเราจะพัฒนาไปได้ดีขึ้นกว่าเดิมไหม หรือไม่รู้ว่ามันจะไปในทิศทางไหน แต่หนูก็เปิดโอกาสให้เขาและเปิดโอกาสให้ตัวเองด้วย การกลับมาครั้งนี้เราก็ไม่ได้มีข้อตกลงอะไร เราแค่บอกในจุดที่เห็นปัญหา ในจุดที่เราเห็นปัญหาตัวเรา และเขาเห็นปัญหาตัวเขา บอกในจุดที่ไม่โอเคของกันและกันทั้งคู่ บอกกันตรง ๆ เคลียร์ ๆ เรียบร้อยแล้ว อยู่ที่ว่ามันจะไปในทิศทางไหนได้ ถามว่าเปิดโอกาสให้ตัวเองแปลว่าคนอื่นก็มีสิทธิ์เข้ามาทำความรู้จักกันเราใช่ไหม คือหนูไม่เปิดค่ะ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีใครเข้ามา พี่เคนต้องรู้ซะบ้าง ไม่ใส่ใจฉันเธอต้องโดนซะบ้าง พี่เคนมีคู่แข่งแล้วนะตอนนี้ ส่วนคุณแม่กับน้องชายหนูสนิทกับพี่เคนแต่ก็ไม่ได้ช่วยเป็นกาวใจ เขารู้ปัญหาทุกอย่าง แต่รู้สึกว่าเป็นเรื่องของคนสองคน เขาก็ได้แต่คอยให้คำปรึกษาอยู่ห่าง ๆ ในเรื่องของการตัดสินใจว่าเราจะเอายังไงต่อ เป็นหน้าที่เราและพี่เขาต้องตัดสินใจกันเอง”

“ถามว่าอาถรรพ์ 7 ปีเกี่ยวไหม หนูรู้สึกว่าช่วงเวลา 7 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่เราเรียนรู้ใครคนหนึ่งรู้ถึงสันดานที่แท้จริง หมายถึงว่าสันดานที่แท้จริงของเรา และสันดานที่แท้จริงของเขา รู้มากกว่านิสัยกันและกัน เป็นตัวตนที่แท้จริง ส่วนตัวไม่เชื่ออาถรรพ์รัก 7 ปี แต่พี่เคนเขาบอกเขาจะฝ่าอาถรรพ์ใช่ไหมคะ ต้องลองดูค่ะ กำแพงไม่รู้ แค่รู้สึกว่าต้องคิดให้ดี ต้องเอาใจใส่ในเรื่องของความสัมพันธ์ให้มากขึ้น ไม่ใช่คบกันแล้วปล่อยปะละเลย มันเป็นสิ่งหนึ่งที่เราควรจะต้องเอาใจใจและดูแลรักษาให้มันดี ข่าวลืออักษรย่อต่าง ๆ ไม่ได้มีผลกระทบกับความรักของเราเลย ถามว่า ณ ตอนนี้อยากมีแฟนไหม ณ ตอนนี้ขอพักก่อน ไม่รีบตัดสินใจ ทำอะไรด้วยสติ ไม่ใช้อารมณ์ในการดำเนินชีวิต เรียกว่ากำลังรักษาใจอยู่ ระยะทำใจ ไม่ได้เหงาอะไรนะ เห็นภาพเขาในอนาคตไหม ไม่รู้เลยค่ะ มันมัว ๆ ลาง ๆ ไปหมดเลย แต่ด้วยความที่เราทำอะไรด้วยกันเยอะ มันก็ต้องเจอกันบ่อย ๆ อยู่แล้ว เราก็เห็นเขาเป็นคนในครอบครัว ซึ่งเราอยากให้เขาได้แต่สิ่งดี ๆ ยังรักและหวังดีกับเขาเสมอ ถามว่าพี่เขาง้อไหม เอาจริง ๆ ตั้งแต่พี่กลับมาเราเพิ่งได้คุยกันจริง ๆ จัง ๆ ก็เมื่อไม่กี่วันมานี้เองค่ะ ส่วนที่พี่เคนฝากพี่ ๆ สื่อช่วยง้ออาจะเป็นเพราะเขาได้เห็นตั้งแต่ที่หนูสัมภาษณ์ครั้งที่แล้ว ถ้าใจอ่อนเมื่อไหร่เดี๋ยวบอกค่ะ”.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน


เข้าชม 3,279 ครั้ง
ดูข่าวเพิ่มเติม