“ษา วรรณษา” เครียด! “น้องเซย์เดย์” ตัดพ้อเรียนออนไลน์การบ้านเยอะ จนไม่อยากเรียนแล้ว

พักงานในวงการบันเทิงไปนาน สำหรับนักแสดงสาว “ษา วรรณษา” โดยผันตัวไปจับทางธุรกิจขายสินค้าผ่านทางออนไลน์ ซึ่งที่ผ่านมาก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก นอกจากการทำธุรกิจอดีตนักแสดงคนดังยังทำหน้าที่แม่เลี้ยงเดี่ยว เลี้ยงดูลูกชาย “น้องเซย์เดย์” ที่ปัจจุบันอายุ 16 ปี และกำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งน้องเป็นเด็กพิเศษที่ต้องใช้ความเข้าใจ และทักษะการเรียนที่พิเศษมากกว่าคนทั่วไป


โดยที่ผ่านมา “ษา วรรณษา” โพสต์ข้อความระบายผ่านอินสตาแกรมส่วนตัวในทำนองว่า “สงสารลูกจับใจ ลูกเครียดเรื่องเรียนมาก ลูกบอกไม่อยากเรียนแล้ว เป็นคนเข้มแข็งมาตลอดเรื่องลูก เรื่องครอบครัวต่าง ๆ แต่วันนี้เราไม่ไหวแล้วจริง ๆ สงสารลูก สงสารตัวเอง” ซึ่งก็มีหลายคนเข้าไปให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก

ล่าสุดเจ้าตัวเปิดใจกับไนน์เอ็นเตอร์เทนเผยว่า “น้องเซย์เดย์” ตอนแรกคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องการเรียนออนไลน์เพราะถึงแม้จะเป็นเด็กพิเศษ แต่ลูกชอบอยู่กับคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว (พูดในฐานะแม่ที่ต้องดูแลเด็กพิเศษ) ในทุกวัน ๆ จะกำหนดให้เล่นคอมพิวเตอร์ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ถ้าหากไปโรงเรียนน้องเซย์เดย์ จะทำการบ้านจนเสร็จ แล้วจึงจะใช้เวลาทำสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ


ซึ่งการเรียนออนไลน์ของลูกไม่คิดว่าจะกระทบกับตัวเองจนต้องออกมาระบายในโซเชียล บวกกับที่ผ่านมาคนอาจจะมองว่า “ษา” เป็นแม่ที่สตรอง แต่วันนั้นที่โพสต์เกิดจากการที่ลูกเริ่มรู้สึกไม่โอเคกับการเรียนออนไลน์มาก ๆ จากเป็นเด็กที่ชอบทำการบ้านกลายเป็นเด็กที่พูดว่าไม่อยากเรียนแล้ว ไม่รู้จะเรียนไปทำไม บางวิชาไม่ได้ใช้ในอนาคตหรอก ทำให้คนเป็นแม่รู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว คิดว่าต้องมีอะไรผิดพลาดแล้ว ซึ่งษาตั้งสติกับตัวเองแล้วตัดสินใจพูดคุยกับลูกใหม่

หลายคนอาจจะมองพฤติกรรมของน้องเซย์เดย์ เป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับษา ที่มีลูกเป็นเด็กพิเศษเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ษาเองต้องให้ลูกบำบัดเรื่องของอารมณ์มาตั้งแต่ 1 ขวบ ซึ่งถ้าหากมีอารมณ์เบื่อแบบปัจจุบันแสดงว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น ลูกษากำลังเจอกับปัญหาหนัก สุดท้ายมานั่งแก้ปัญหากันจนได้ข้อสรุปว่าเซย์เดย์ มีปัญหาเรื่องการบ้านที่เยอะจนเกินไป เพราะ 1 วัน เรียนเยอะ 7-8 วิชา ทำการบ้านถึง 5 ทุ่ม จากปกติจะเป็นเด็กที่ชอบทำการบ้านให้เสร็จที่โรงเรียน กลับบ้านมาจะไม่มีการบ้านแล้ว ทุกวันนี้น้องเซย์เดย์ เปิดคอมตั้งแต่ 7 โมงเช้า – 5 ทุ่ม เพื่ออยู่กับการเรียน ทำให้เขาไม่ได้ผ่อนคลายเลย ไม่ได้ทำในสิ่งที่ชอบเลย อีกอย่างการบ้านเด็ก ม.4 สมัยนี้ค่อนข้างที่จะแตกต่างจากเมื่อก่อน พ่อแม่ก็สอนไม่ได้เพราะเรียนไม่เหมือนกัน

ความฝันของลูกคืออยากเป็นโปรแกรมเมอร์ เราจึงบอกลูกว่าถ้าตอนนี้เราหยุดเรียนก็จะเป็นโปรแกรมเมอร์ที่มีความรู้แค่ ม.3 แต่ถ้าเรียนมหาวิทยาลัย จบมาก็จะเป็นโปรแกรมเมอร์ที่มีความรู้อีกระดับ ซึ่งก็ทำให้ลูกได้มาทบทวนตัวเอง และเริ่มกลับมาทำการบ้านอีกครั้ง


อีกอย่างษาได้ปรับเปลี่ยนตัวเอง ด้วยการไม่ถามลูกว่า “ทำการบ้านหรือยัง” แต่จะถามลูกว่าเข้าใจการบ้านไหม ? การบ้านเยอะไหม ? แทน เพื่อเป็นแนวทางให้เขาตอบแบบรีแล็กซ์ เพราะเด็กพิเศษคือชอบคนเอาใจ

เช่นเดียวกับหลายคนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นเรื่องสถานที่เรียนรูปแบบใหม่ แนะนำให้เรียนแบบทางเลือก แล้วค่อยไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยภายหลัง ซึ่งเจ้าตัวจะพยายามเก็บไว้เป็นแนวทาง แต่การดร็อปเรียน ษาจะให้ลูกเป็นคนเลือกด้วยตัวเอง เพราะลูกเป็นคนเรียน ซึ่งษาเคยถามลูกแล้วเหมือนกัน ษาบอกลูกว่า “การดรอปเรียนง่ายมากแค่โทรศัพท์ไปหาครูก็หยุดเรียนได้เลย แต่การเรียนต่อมันจะต้องพยายามแต่ผลลัพธ์ที่จะได้มามันจะคุ้มค่า”

ส่วนผลกระทบจากสถานการณ์โควิดครั้งนี้ ตัวษาเองต้องปรับตัวค่อนข้างเยอะตามสถานการณ์วันต่อวัน ตอนนี้ก็กระทบในเรื่องของรายได้แน่นอน แต่ก็ทำได้เท่าที่ทำได้ ต้องรู้จักประหยัด เพราะไม่รู้ว่าอนาคตจะต้องใช้เงินเก็บของตัวเองมากแค่ไหน

ธุรกิจของตัวเองไม่ได้มีลูกน้อง มีแต่ทีมที่ขายผ่านตัวแทนออนไลน์ ตอนนี้ชีวิตของตัวแทนสินค้าเองอาจมีการปรับตัวโดยการไปใช้ชีวิตของตัวเอง ทำอาชีพของตัวเองมากขึ้น และเมื่อสถานการณ์กลับมาดีขึ้นค่อยว่ากัน ทางออกสำหรับอนาคตตั้งใจว่าจะเดินหน้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่อยากกังวล หรือจิตตก อาจเป็นโรคซึมเศร้าได้:-ไนน์เอ็นเตอร์เทน

เข้าชม 560 ครั้ง
ดูข่าวเพิ่มเติม