“แบงค์-ไอซ์” เคลียร์ดราม่าหลังเสีย “พ่อค่อม”

ออกมาเปิดใจแพคคู่ “แบงค์ อธิกิตติ์ -ไอซ์ ณพัชรินทร์” ลูกเขยและลูกสาว หลังสูญเสียคุณพ่อผู้เป็นที่รัก “น้าค่อม ชวนชื่น” โดยมีดราม่าตามมาหลังจากนั้นหลายเรื่อง


ล่าสุดวันนี้ (21 มิ.ย.2564) ทั้งคู่ก็เปิดใจในรายการคุยแซ่บโชว์ เผยถึงสภาพจิตใจในตอนนี้ด้วยเสียงสั่นเครือ ว่าก็ยังคิดถึงคุณพ่ออยู่ทุกวัน แต่ “ไอซ์” ก็เข้มแข็งมาก ไม่ใช่แค่เข้มแข็งเพื่อแม่อย่างเดียว แต่มีทั้งลูก และน้องด้วย

ทั้งคู่ย้อนไทม์ไลน์วันแรกที่รู้ว่า “พ่อค่อม” ติดโควิดคือวันที่ 12 เมษา ตอนนั้นไอซ์กับแบงค์อยู่คนละบ้านกับคุณพ่อ วันที่รถโรงพยาบาลมารับ เขาก็ยังดูปกติ


ไอซ์เล่าว่าหลังจากเข้าโรงพยาบาล ก็ไม่ได้เจอคุณพ่ออีก ปกติคุณพ่อไม่เล่นโซเชียล แต่สามารถคุยเฟสไทม์ได้ ก็ได้คุยอัปเดตกัน หลังจากที่เข้า รพ. ตอนนั้นห่วงคุณพ่อ เพราะมีโรคประจำตัวด้วย แต่ไม่คิดว่าอาการจะร้ายแรงขนาดนี้ เพราะเราเทียวโทรอยู่ตลอด เป็นห่วงแค่ปอด ก็ยังมีความหวังว่าคุณพ่อจะหายเพราะคุณพ่อไม่ได้สูบบุหรี่ แต่พอเกิดเหตุการณ์หลังจากนั้นว่าปอดคุณพ่อมีปัญหา เราก็ทำอะไรไม่ถูก วันสุดท้ายที่มีโอกาสได้เจอกัน คือ วันที่ไปตรวจโควิดกัน วันที่ 11 เมษายน ผลออก 12 เมษายน และรถโรงพยาบาลมารับวันที่ 13

แบงค์และไอซ์เล่าถึงตอนต้องย้ายโรงพยาบาลเพื่อเคลียร์ดราม่าว่าทำไมต้องย้าย? เหตุผลคือเนื่องจากอาการของ “พ่อค่อม” มีฝ้าที่ปอดหนา ที่ต้องย้ายโรงพยาบาลเป็นเรื่องของเครื่องมือ โดยเล่าว่าแต่ละรพ.พยาบาลที่ไปหา เป็นโรงพยาบาลขั้นปฐมภูมิ ที่มีเครื่องมือประมาณหนึ่ง แต่พอต้องทำการรักษาขั้นต่อไป อาจจะไม่มีเครื่องมือบางรายการที่ต้องทำการรักษาในขั้นทุติยภูมิ จึงต้องทำการย้ายไปที่โรงพยาบาลที่มีเครื่องมือนั้นๆ จะเป็นการส่งต่อโรงพยาบาลกันไป

และคุณพ่อจะต้องฟอกไต จึงต้องทำการย้ายโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือ ตอนแรกพวกเราก็งงกันอยู่ ว่าทำไมต้องย้าย และพอย้ายโรงพยาบาล พอย้ายไป รพ.ที่ 2 ก็ต้องเข้าไอซียูเลย


ซึ่งทั้งคู่ก็ยอมรับว่าคุณพ่อมีความดื้อเล็กน้อย ตอนอยู่ที่ รพ.ที่ 2 อาจจะด้วยที่ต้องใส่สายระโยงระยางแล้วเขาเป็นคนขี้รำคาญ ประกอบกับในห้องไม่มีทีวี และไม่เล่นโซเชียล อาจทำให้เบื่อกว่าจะผ่านไปแต่ละวัน

หลังจากนั้นผลโควิดของคุณแม่เอ๋ ก็ออกมาว่าติดเชื้อ ก็ยอมรับว่าใจคอไม่ค่อยดี หลังจากทราบว่าคุณพ่อต้องนอนคว่ำ และต้องสอดท่อช่วยหายใจ

หลังจากนั้นก็รอลุ้นโทรศัพท์จากคุณหมอ ว่าอาการคุณพ่อจะดีขึ้นไหม ซึ่งที่ได้รับสายคือ มีแต่อาการยังทรงตัวทุกๆ วัน

และมีวันหนึ่งก็ได้ยินคำพูดสะเทือนใจจากคุณพ่อ เราก็บอกพ่อว่า พ่อสู้ๆ นะ พ่อบอก “พ่อไม่ไหวแล้ว พ่อไม่ไหวแล้วจริงๆ”

ส่วนเรื่องคลิปที่ทั้งคู่ร้องไห้ ขอความช่วยเหลือนั้น แบงค์เล่าว่า “เป็นช่วงอยู่ที่โรงพยาบาลที่ 2 ด้วยความที่โควิดเป็นโรคที่ใหม่ เราก็ไม่ค่อยรู้การรักษา คุณหมอที่โรงพยาบาลก็บอกว่า ขั้นตอนการรักษามันมีประมาณนี้ ไม่ได้มีขั้นตอนต่อไปแล้ว แต่อาการคุณพ่อไม่ได้ดีขึ้น ที่ตนได้ถามในคลิปก็เผื่อว่า อาจจะมีคุณหมอสักคน ที่จะรู้ว่าวิธีการรักษามันมีวิธีอื่นอีกไหม เพราะ ณ ตอนนั้นมันไม่มีวิธีแล้ว ด้วยความที่เราเป็นลูก เราก็ขอความช่วยเหลือ เพื่อที่จะช่วยพ่อ

หลังจากนั้นก็ปรึกษากันว่าจะทำการย้ายคุณพ่อมารักษาที่โรงพยาบาลที่ 3 ที่มีเครื่องมือที่ชื่อ “เอ็กซ์โม่” ด้วยความที่โรงพยาบาลที่ 2 ไม่มีเครื่องมือที่ต้องทำการรักษา จึงต้องทำการย้ายตามขั้นตอน ซึ่งทำเรื่องขอความช่วยเหลือไปหลายโรงพยาบาล แต่ไม่ว่างเลย ยืนยันทำตามระเบียบการย้ายโรงพยาบาลตามขั้นตอนทุกอย่าง จนกระทั่งได้มาอยู่ที่โรงพยาบาลที่ 3

ขอบคุณที่หลายคนส่งข้อความมาแนะนำการช่วยเหลือ

พอย้ายมาที่โรงพบาบาลที่ 3 คุณพ่อไม่รู้สึกตัวแล้ว เพราะด้วยยา ที่ต้องทำการรักษา ซึ่งพอย้ายมาโรงพยาบาลที่ 3 อวัยวะภายใน ปอด ไต ตับ ก็เริ่มแย่แล้ว จนคุณหมอลงความเห็นว่า ใช้เครื่องเอ็กซ์โม่ก็ไม่ช่วยแล้ว

ตอนนั้นก็ยังมีความหวัง มีความหวังมาตลอด เพราะถ้าไม่หวังก็เหมือนเป็นคนยอมแพ้ตั้งแต่แรก เราไม่เคยยอมแพ้สักวัน เราไม่เคยนั่งรอ เราพยายามคุยกับคุณหมอตลอด หาข้อมูล ว่าทำอะไรได้บ้าง

พอย้ายไปโรงพยาบาลที่ 3 ก็มีคำถามที่ทำให้แทบเข่าทรุดคือ “จะปั๊ม หรือไม่ปั๊ม” ทำเอาตื้อไปหมด แต่สุดท้ายทุกคนก็ปรึกษากันว่า ไม่ปั๊มดีกว่า เพราะคุณหมอจะบอกว่า คุณหมอไม่การันตีเลยว่า ปั๊มแล้วจะฟื้น เค้าให้เหตุผลว่าให้คนไข้ไม่ต้องทรมานในวาระสุดท้ายดีกว่า

ส่วนคุณแม่ก็มีการโทรคุยกันว่า จะทำยังไงดี คุณแม่ก็เคารพการตัดสินใจของทุกคน แต่ยังไม่ได้บอกเรื่องปั๊มหัวใจ เพราะห่วงอาการของคุณแม่ หลังติดเชื้อโควิด และตรวจพบโรคเบาหวานด้วย จึงเลือกที่จะบอกบางเรื่อง ไม่อยากให้เขาทุกข์

ยอมรับว่าระหว่างที่คุณพ่อคุณแม่รักษาตัว นอนไม่หลับเลย นับเป็นช่วงเวลาที่บีบหัวใจที่สุดในชีวิต

หลังจากที่โรงพบาบาลโทรมาช่วงตี 4 บอกว่า คุณพ่อจากไปแล้ว พิธีศพก็ต้องรีบจัดการให้เสร็จ เป็นช่วงเวลาที่บีบหัวใจมากๆ

และพอหลังจากจัดการเรื่องงานศพคุณพ่อเสร็จ ก็มีเรื่องดราม่าเกาะพ่อกิน สาวไอซ์บอกอย่าตัดสินคนด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เราโตมาขนาดนี้ เรากล้าที่จะแต่งงาน เราต้องมั่นใจว่าเลี้ยงตัวเองได้อยู่แล้ว คงไม่มีใครเอาสามีตัวเอง มาให้พ่อแม่เลี้ยง

พร้อมเผยถึงธุรกิจตอนนี้ ว่ามี ร้านอาหาร ขายเสื้อผ้า ขายเครื่องประดับ ทำช่องยูทูป ไลฟ์ขายเสื้อผ้ามือ2 ปกติตนจะเป็นคนอยู่ไม่นิ่ง จะหาอะไรทำตลอด พร้อมกันนี้ “แบงค์” ก็ฝากถึงคนที่โยงดราม่าต่างๆ ว่าขอให้ใจเย็นๆ ทุกอย่างมันเกิดด้วยเหตุและผลของมัน ทุกคนคอมเมนต์ก็อยากให้เข้าใจภรรยาตนด้วย เพราะเขาเพิ่งผ่านเรื่องร้ายๆ มา

พอถามว่าเวลาเจอดราม่า ผ่านมาได้อย่างไร สาวไอซ์เผยว่าก็จะหันหน้าไปพึ่งสามี เพราะรู้ว่าจะได้รับคำแนะนำที่ดีต่อใจ

แบงค์ก็สำทับขึ้นว่า หากอะไรไม่โอเคเราก็แค่ก้าวข้ามผ่านมันไป อย่าไปเหยียบมัน เพราะมันจะติดตัวเราไป ให้ก้าวข้ามผ่านมันไปดีกว่า

ส่วนคำถามที่ว่า หากมีพรวิเศษ ให้ย้อนเวลากลับไปได้ อยากย้อนไปแก้อะไร งานนี้ “ไอซ์” ตอบว่า ไม่อยากแก้อะไร ตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะเจ้าตัวคิดว่าว่าใช้สติในการทำทุกเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว

ส่วนแบงค์ก็เช่นกัน เผยว่าตนและไอซ์คุยกันตลอด ไม่เคยนึกย้อนกลับไปแล้วเสียใจเรื่องอะไร ทุกเรื่องมันผ่านขั้นตอนการคิดหมดแล้ว.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน

ขอบคุณภาพจาก : รายการคุยแซ่บโชว์

เข้าชม 14,615 ครั้ง
ดูข่าวเพิ่มเติม