เซรั่มธรรมะ ตอนที่ 12 ยอดพุทธอาสา สมัยพุทธกาล


ในเมืองไทยคำว่า
“จิตอาสา” มีการใช้ครั้งแรกหลังเหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิผ่านไปประมาณ
1
ปี โดยคณะทำงานแผนพัฒนาจิต ของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  ซึ่งให้เหตุผลว่า ที่ผ่านมาใช้คำว่า
“อาสาสมัคร”  ฟังแล้วไม่สะดุดหู  จึงประดิษฐ์คิดคำขึ้นมาใหม่ ว่า “จิตอาสา”

 ต่อมาก็กลายเป็นคำที่ถูกใช้อย่างแพร่หลาย   พร้อมทั้งให้นิยามที่แปลกใหม่  ลัดสั้น แต่เมื่อพิจารณาแล้ว ล้วน งดงามทั้ง
อรรถและความหมายในวิถีพุทธ  อาทิ คำว่า
   “เธอคือผู้ที่มีหัวใจเต้นเพื่อคนอื่น”
 

 เธอคือพระโพธิสัตว์บนดิน”
 


                  เชื่อมั้ยครับนิยามที่มีความหมายงดงามลึกซึ้งเหล่านี้
 ทำให้นึกถึง “พุทธอาสา”
ท่านหนึ่งที่ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะในทางผู้จัดเสนาสนะ
 
คือ พระทัพพะมัลละบุตร  ซึ่งในคัมภีร์ชั้นอรรถกถาธรรมบท   อสีติมหาสาวก ได้กล่าวถึงวัตรปฏิบัติไว้อย่างน่าสนใจและน่าศึกษา
เป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น เซรั่มธรรมะ ฉบับนี้
 ผู้เขียนจึงขออาสามาเล่าพร้อมสังเคราะห์ให้ฟัง

 พระทัพพะมัลละบุตร เป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามัลลราช ในอนุปิยนิคม
แคว้นมัลละ มีพระนามเดิมว่า
ทัพพราชกุมารแต่เนื่องจากว่าเป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามัลลราช
จึงนิยมเรียกกันว่า
ทัพพมัลลบุตร เหตุที่ท่านได้ชื่อว่า
ทัพพะ ซึ่งแปลว่า “ไม้”  นั้นก็เพราะว่าในขณะที่พระมารดา
ตั้งครรภ์ใกล้จะประสูติ แต่มาสวรรคตเสียก่อน บรรดาพระประยูรญาติจึงนำศพไปเผาบนเชิง
ตะกอน เมื่อไฟกำลังเผาไหม้ร่างของพระนางอยู่นั้น ท้องได้แตกออก
ทารกในครรภ์ได้ลอยมาตก ลงบนกองไม้ใกล้ ๆ เชิงตะกอน แต่ไม่ได้รับอันตรายใด ๆ   บรรดาเจ้าหน้าที่จึงได้อุ้มทารกมามอบให้พระอัยยิกา
(ยาย)  ก็อาศัยเหตุการณ์นี้จึงตั้งชื่อท่านว่า
ทัพพะ

ขณะนั้น ทัพพราชกุมาร มีอายุ 7 ขวบ ยายได้พาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับชาวเมือง
ทันทีที่ทัพพราชกุมารได้เห็นพระพุทธเจ้า ก็เกิดความเลื่อมใสคิดปรารถนาจะออกบวช จึงบอกให้ยายทราบ
 ยายคิดอยู่ตลอดเวลาว่า หลานเป็นคนมีบุญ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จึงดีใจมาก รีบพาหลานเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วทูลขอให้ทรงบวชให้
พระพุทธเจ้าทรงมอบให้พระรูปหนึ่งรับทำหน้าที่เป็นพระอุปัชฌาย์พร้อมบวชให้


ระหว่างพิธีบวช พระอุปัชฌาย์ ก็สอน ตจปัญจกกรรมฐานหรือกรรมฐานเบื้องต้น
เป็น กายคตาสติ  ระลึกถึงความไม่งามปฏิกูลของอาการ
32 โดยสอนให้ท่านพิจารณาอวัยวะ 5 ส่วน คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
 ขณะที่นั่งให้พระอุปัชฌาย์ปลงผมอยู่นั้น
ท่านก็กำหนดพิจารณาตามที่เรียนและได้บรรลุมรรคผลตามลำดับ คือ โกนเสร็จกระจุกที่ 1
ได้บรรลุโสดาปัตติผล โกนเสร็จกระจุกที่ 2 ได้บรรลุสกิทาคามิผล โกนเสร็จกระจุกที่ 3
ได้บรรลุอนาคามิผล ครั้น โกนเสร็จกระจุกที่ 4 อันเป็นกระจุกสุดท้าย
พร้อมกับการโกนสิ้นสุดลงก็ได้บรรลุอรหัตผล เรียกว่า บรรลุธรรมตั้งแต่ 7 ขวบ

หลักจากบวชพระทัพพะมัลละบุตร 
ก็ตามเสด็จพระพุทธเจ้าไปจำพรรษาอยู่ที่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ  วันหนึ่งขณะหลีกเร้นอยู่ตามลำพัง
ท่านได้ตรวจดูความสำเร็จของตนแล้วก็เกิดความคิดที่จะทำประโยชน์แก่ส่วนรวม
คือ
จัดเสนาสนะแจกจ่ายให้พระที่มาจากต่างถิ่นได้พักอาศัยและจัดพระไปฉันตามที่มีผู้นิมนต์ไว้
 ท่านนำความคิดนี้ไปกราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ
พระพุทธเจ้าตรัสอนุโมทนา และทรงเห็นว่าท่านอายุยังเยาว์
แต่ต้องการมารับภาระหนักอันน่าจะเป็นหน้าที่ของพระมากกว่า
เพื่อให้ท่านปฏิบัติหน้าที่ด้วยความคล่องตัว ดังนั้น จึงทรงบวชยกให้ท่านเป็นพระตั้งแต่วันนั้น
“คือทรงยกฐานะให้เป็นพระภิกษุตั้งแต่อายุ  7 ขวบ”

การจัดเสนาสนะ ท่านยึดหลักคือ จัดพระที่มีความถนัดคล้ายกันไว้ด้วยกัน
ดังจะเห็นได้จากการที่ท่านจัดพระที่เชี่ยวชาญพระสูตรให้พักอยู่ในที่เดียวกัน  พระที่เชี่ยวชาญพระวินัย และ
พระที่เชี่ยวชาญพระอภิธรรม ก็จัดให้พักในทำนองเดียวกัน
โดยตระหนักถึงเหตุผลว่าพระเหล่านั้นจะได้คุ้นเคยกันและสนทนาในเรื่องที่ถนัดเหมือนกัน
นอกจากนั้น ท่านยังจัดเสนาสนะให้ตามความประสงค์ของผู้มาพักไม่ว่าจะเป็นซอกเขา หรือ
ในถ้ำ หากมีพระมาขอพักในเวลากลางคืน
ท่านก็เข้าเตโชสมาบัติอธิษฐานให้เกิดแสงสว่างที่ปลายนิ้วมือแล้วเดินนำหน้าพาพระอาคันตุกะเหล่านั้นไปส่งตามที่พักแห่งต่างๆ
ครั้นพาพระอาคันตุกะไปส่งถึงที่พักแล้ว ท่านก็จะบอกให้ทราบถึงการใช้ที่พัก
รวมทั้งบอกเวลาเข้าออกที่เหมาะสมให้ด้วย

การจัดพระไปฉันในที่นิมนต์ ท่านยึดหลักความเหมาะสมเกี่ยวกับวัยวุฒิและคุณวุฒิ
ท่านยังรู้ไปถึงว่า อาหารชนิดใดเป็นสัปปายะหรือไม่เป็นสัปปายะแก่พระรูปใด  ทำให้พระทั่วไปต่างยอมรับในการจัดการของท่าน

เมื่อเกียรติคุณในความสมบูรณ์แห่งหน้าที่ปรากฏขึ้นชัดเจน พระพุทธเจ้าเมื่อจะทรงแต่งตั้งพระทัพพเถระไว้ในฐานันดร
ในท่ามกลางหมู่พระอริยเจ้าขณะนั้นเอง ตถาคตทรงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พระทัพพมัลลบุตร เป็นผู้เลิศแห่งหมู่ภิกษุสาวกของเรา ผู้จัดแจงเสนาสนะแล

ดังนั้นการที่ท่านได้รับการแต่งตั้งจากพระพุทธเจ้าให้เป็นผู้ประเสริฐสุดในทางจัดแจงเสนาสนะให้แก่สงฆ์ได้อย่างชัดแจ้ง  จึงนับว่าได้พระทัพพมัลลบุตรเป็นยอดพระนักจิตอาสาทำงานเพื่อสังคมอย่างแท้จริง

นอกจากภารกิจดังกล่าวแล้ว พระทัพพมัลลบุตรยังได้ทำงานสำคัญอีกอย่างหนึ่ง
คือ ร่วมทำปฐมสังคายนา  เป็นพระอรหันต์ 1ใน
500รูปที่ได้รับคัดเลือกจากพระมหากัสสปะ
ด้วย

บั้นปลายชีวิต  พระทัพพมัลลบุตรเถระ
นิพพานที่เมืองราชคฤห์ โดยก่อนที่จะนิพพาน ท่านได้ แสดงฤทธิ์เหาะขึ้นไปในอากาศ
ทำสมาธิเข้าสมาบัติเมื่อออกจากสมาบัติแล้วก็นิพพานทันที  พลันก็เกิดไฟลุกไหม้ร่างของท่านหมดสิ้น
ไม่มีเหลือแม้แต่เถ้าถ่าน ทั้งนี้เป็นไปตามความประสงค์ของท่านนั่นเอง

 

                                                                                                                             

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เข้าชม 40 ครั้ง
ดูข่าวเพิ่มเติม