เมื่อวานรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับกรณีความขัดแย้ง ระหว่างนักบู๊ชื่อก้องโลก จา พนม และสหมงคลฟิล์ม ให้คุณผู้ชมได้ทราบอย่างละเอียดแล้ว วันนี้เราจะไปไขปริศนาเบื้องลึกกันว่า สรุปแล้วจายังถือว่าเป็นนักแสดงภายใต้สังกัดค่ายใบโพธิ์หรือไม่ และ ถ้าหนัง “ฟาสต์ แอนด์ ฟิวเรียส 7” ไม่ได้ฉายจริงๆ จะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง
ในที่สุดแฟนหนังรถซิ่งก็ได้เฮแล้วนะคะ เมื่อศาลแพ่งยกเลิกคำสั่งห้ามฉายหนัง “ฟาสต์ แอนด์ ฟิวเรียส 7” แล้ว // แต่ขณะเดียวกันข้อกังขาเรื่องสัญญาระหว่าง จา พนม และ สหมงคลฟิล์ม ก็ยังไม่คลี่คลาย เนื่องจากค่ายใบโพธิ์ยืนยันว่า จายังติดสัญญากับค่ายอยู่ เพราะการที่พี่สาวของจาเซ็นเอกสารรับมอบสัญญา ก็ถือว่าต่อสัญญาโดยอัตโนมัติ ขณะที่จาก็ดำเนินการส่งหนังสือขอยกเลิกสัญญากับค่ายแจ้งเกิดทันทีที่ทราบเรื่อง
โดยสหมงคลฟิล์มงัดหลักฐานเด็ดเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดและคลิปเสียง ที่จาเข้ามาเจรจาขอเงินไปสร้างหนัง “ไอ้หนุ่มกังนัม” 26 ล้านบาท เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2556 // พร้อมโชว์หลักฐานการโอนเงินเดือนให้จาอีกเดือนละ 50,000 บาท ก่อนที่ในเดือนกันยายนปี 2556 จาจะปิดบัญชีที่สหมงคลฟิล์มโอนเงินให้ ซึ่งเป็นการแสดงออกว่าต้องการยกเลิกสัญญาแล้ว ค่ายใบโพธิ์จำนำเงินเดือนของจาไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ทุกเดือน เพื่อแสดงให้เห็นว่าสหมงคลฟิล์มไม่ใช่ฝ่ายผิดสัญญา
จากรายละเอียดและเรื่องวุ่นๆ ต่างๆ เกี่ยวกับสัญญาของพระเอกนักบู๊และค่ายใบโพธิ์ จึงทำให้หลายคนสับสนไม่รู้จะเชื่อใคร และใครเป็นฝ่ายผิดฝ่ายถูกกันแน่
ไนน์เอ็นเตอร์เทนจึงติดต่อไปยังทนายความชื่อดัง ประมาณ เลืองวัฒนะวณิช ที่ให้ความรู้ว่า การต่อสัญญาอัตโนมัติเป็นไปได้อยู่แล้ว // แต่เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง แล้วนักแสดงแสดงความจำนงว่าจะไม่ต่อสัญญา ก็สามารถบอกกล่าวเป็นคำพูดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นลายลักษณ์อักษร // ส่วนในกรณีที่นักแสดงคนนั้นๆ ยกเลิกสัญญาไปแล้ว แต่ยังกลับมาขอเงินในกรณีต่างๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องของสัญญาใจระหว่างต้นสังกัดกับนักแสดง ซึ่งหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาก็ต้องไปสืบความกันในชั้นศาลและดำเนินการตามกฏหมายต่อไป
ถึงอย่างนั้นทนายประมาณก็มองว่า สหมงคลฟิล์มไม่ควรขออำนาจศาลแพ่งให้ระงับฉายหนัง “Fast 7” ชั่วคราว แม้สหมงคลฟิล์มจะได้รับความเสียหายจากการที่จาละเมิดสัญญาเพื่อไปแสดงหนังเรื่องนี้ก็ตาม เพราะการสั่งระงับฉายหนังเป็นการละเมิดสิทธิ์นักแสดงคนอื่นๆ ของหนังเรื่องนี้ รวมถึงผู้ชมด้วย
ด้าน วิชา พูลวรลักษณ์ ผู้บริหารโรงหนังเครือเมเจอร์ก็เปิดเผยว่า แม้หนังรถซิ่งยังคงถูกสั่งห้ามฉาย ก็ไม่ส่งผลกระทบกับธุรกิจโรงหนังมากนัก ได้เข้าฉายเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น พร้อมยกตัวอย่างว่า ประเทศญี่ปุ่นก็มีหนังบางเรื่องที่เข้าฉายช้า แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของหนังเท่าไหร่ เพราะคนที่อยากดูก็ต้องมาตีตั๋วดูอยู่ดี