เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมานักร้องหนุ่ม ฟอร์ด สบชัย ก็เคยตกเป็นข่าวฮือฮามาแล้ว หลังถูกพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ออกหนังสือให้ไปเป็นพยานในคดีที่ อดีตต้นสังกัดอย่าง บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) แจ้งความดำเนินคดีกับ “ผู้ว่าจ้าง” ฟอร์ดให้ไปร้องเพลงในงานวิวาห์ซึ่งจัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังใจกลางกรุง ซึ่งตอนแรกที่ฟอร์ดโดนหมายเรียกก็ตกใจ แต่ก็เดินทางไปให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่างานดังกล่าว เพื่อนของเพื่อนเชิญให้ไปเป็นแขกเซอร์ไพรส์คู่บ่าวสาวเท่านั้น และที่สำคัญเค้าก็ไม่ได้รับค่าจ้างด้วยค่ะ
จากนั้นก็มีการแชร์คดีที่น่าสนใจเกี่ยวกับการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์กับผู้ประกอบกิจการค้าขายอาหารตามสั่งและเครื่องดื่มแห่งหนึ่ง เนื่องจากเจ้าของร้านคนนี้เปิดเพลงของค่ายดังแห่งหนึ่งในร้านอาหาร โดยเจ้าของค่ายเพลงดังกล่าวได้ยื่นฟ้องผู้ประกอบกิจการคนนี้ว่าละเมิดลิขสิทธิ์ จึงขอให้ยึดของกลางเป็นซีดีเพลง,เครื่องเล่นดีวีดี และ จ่ายเงินค่าปรับให้กับเจ้าของลิขสิทธิ์ แต่งานนี้ศาลสั่งยกฟ้องผู้ประกอบกิจการค้าขายอาหารตามสั่ง เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่า เจ้าของร้านอาหารดังกล่าวไม่ได้เปิดเพลงเพื่อหากำไรโดยตรงจากการที่ลูกค้าได้ฟังเพลง โดยเรียกเก็บค่าตอบแทนจากลูกค้าในการเปิดเพลง หรือเรียกเก็บเพิ่มรวมไปกับค่าอาหารและเครื่องดื่มแต่อย่างใด
นายสุทธิศักดิ์ ประศาสน์ครุการ กรรมการและผู้อำนวยการ บริษัท จัดเก็บลิขสิทธิ์ไทย จำกัด ในเครือบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เผยถึงหลักเกณฑ์ในการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์จะพิจารณาลักษณะของสถานประกอบธุรกิจนั้น ๆ ว่าเป็นอย่างไรต้องดูจากเจตนาของสถานประกอบธุรกิจเหล่านั้นว่าใช้เพลงในการเรียกลูกค้าหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ค่ะ
ในส่วนของกรณีที่เกิดขึ้นกับฟอร์ด สบชัยนั้น นายสุทธิศักดิ์ ยืนยันว่านักร้องที่เป็นผู้ประพันธ์เพลงของตัวเอง ถึงแม้จะหมดสัญญากันไปแล้วก็สามารถนำเพลงไปร้องได้ เพราะอย่างที่บอกไว้ว่าทางบริษัทเน้นเรียกเก็บกับทางสถานประกอบธุรกิจมากกว่าค่ะ แต่ถ้านักร้องคนนั้น ๆ จะนำเพลงของตัวเองไปจัดคอนเสิร์ต เพื่อแสวงหากำไร ก็ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้กับทางบริษัทค่ะ
ด้านศิลปินวง “โมเดิร์น ด็อก” ก็เผยว่าพวกเค้าเข้าใจเรื่องการจัดเก็บลิขสิทธิ์นะค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้ช่องทางในการหารายได้ของค่ายเพลงก็ลดลง แต่ก็ควรสร้างมาตรฐานในการจัดเก็บให้ชัดเจนกว่านี้
