จากผลสำรวจโพลมหาชน โดยไนน์เอ็นเตอร์เทน และศูนย์สำรวจความคิดเห็นชั้นนำของประเทศ นิด้าโพล ซึ่งพบว่าคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ คือ 39.22% ดูทีวีเฉลี่ยวันละ 1-2 ชั่วโมง และกว่าครึ่งนิยมดูข่าวมากที่สุด // ตามด้วยละคร, หนัง และซีรีย์ต่างๆ ทั้งไทยและต่างประเทศ // รองมาคือเกมโชว์ และวาไรตี้ // แต่ดูสารคดีไม่ถึง4% // และรายการที่สิ้นหวังยิ่งกว่า คือทำแล้วไม่ค่อยมีคนดู คือพวกรายการสำหรับเด็ก, รายการเกี่ยวกับสุขภาพ และรายการธรรมะ สิ่งนี้สะท้อนว่าสังคมไทยไม่ประสบความสำเร็จในการใช้สื่อโทรทัศน์เพื่อประโยชน์ด้านการศึกษาเท่าที่ควร แต่กลายเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความบันเทิงให้ผู้ชมเป็นหลัก และเป็นเครื่องมือหารายได้ของผู้ผลิต และเจ้าของสินค้าไปพร้อมๆ กัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผลสำรวจของเรายังตอกย้ำว่า กลุ่มคนที่ใช้เวลาอยู่หน้าจอทีวีถึงวันละ 3-5 ชั่วโมงนั้น ส่วนใหญ่เป็นวัยต่ำกว่า 25 ปี, รวมทั้งกลุ่มผู้มีการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า // และกลุ่มคนโสด // คนทุกกลุ่มนี้จะมีพฤติกรรมการดูทีวีเหมือนกัน คือชอบดูหนัง, ดูละคร และซีรีย์ มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นหนังละครซีรีย์ไทยหรือต่างประเทศก็ตาม โดยจะดูทีวีตั้งแต่ 2 ทุ่มขึ้นไป
จึงไม่แปลกที่หน้าจอโทรทัศน์ส่วนใหญ่ในเมืองไทย โดยเฉพาะช่วง prime time ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีผู้ชมรับชมมากที่สุดในรอบวัน คือตั้งแต่ 2 ทุ่มเป็นต้นไป จนถึงเที่ยงคืน แต่ละช่องจะเน้นความบันเทิงเป็นหลัก จัดมาแน่นๆ ทั้งละคร, ภาพยนตร์, วาไรตี้ และเกมโชว์ และยอม
ทุ่มงบประมาณการผลิตค่อนข้างสูง ถึงสูงมาก สำหรับรายการเหล่านี้ เพื่อดึงดูดใจผู้ชมให้มากที่สุด เพราะถ้ามีผู้ชมมาก ก็หมายถึง rating ดี แล้วก็จะ
มีโฆษณามาก ซึ่งแปลว่ารายได้ก็มากขึ้นด้วยนั่นเอง
เพราะค่าโฆษณาฟรีทีวีช่วง prime time ตอนนี้เฉลี่ยนาทีละ 3 แสน ถึง 4 แสนบาท ยิ่งถ้าเป็นรายการหรือละครที่มีเรตติ้งผู้ชมสูงมาก ค่าโฆษณาก็จะแพงกว่านี้อีกมาก เพราะเจ้าของสินค้ามองว่ายังไงก็คุ้ม ถ้าสินค้าเข้าถึงการรับรู้ของประชาชนจำนวนมาก // ช่วง prime time จึงเป็นเหมือนสนามรบที่มีการแข่งขันดุเดือดที่สุดในสมรภูมิโทรทัศน์ทุกวันนี้ โดยเฉพาะในยุคดิจิตอลที่มีทีวีให้เลือกชมหลายสิบช่องอย่างในปัจจุบัน.-nine entertain
เข้าชม 135 ครั้ง