วงการฮอลลีวูดต้องร้อนฉ่าอีกรอบ เมื่อสื่อดัง USA Today แฉเรื่องค่าตอบแทนของสองนักแสดงนำจากหนัง All The Money in the World เฉพาะตอนที่ต้องถ่ายซ่อม เพราะขณะที่ พระเอก มาร์ค วอห์ลเบิร์ก ได้เงินค่าเหนื่อยไป 1 ล้าน 5 แสนเหรียญ หรือราว 50 ล้านบาท นางเอก มิเชล วิลเลี่ยมส์ ซึ่งแว่วว่าต้องยกเลิกงานอื่นเพื่อมาเข้าฉากถ่ายทำใหม่ กลับได้ค่าตอบแทนไม่ถึง 1 พันเหรียญ หรือราว 3 หมื่นบาทเท่านั้น เรียกว่าห่างกันราวฟ้ากับเหว จนแม้แต่นักแสดงร่วมวงการ ยังเป็นเดือดเป็นร้อนแทนกับความไม่ยุติธรรมครั้งนี้
แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาที่เพิ่งเกิดขึ้น เพราะตลอดมาฮอลลีวูดได้ชื่อว่าเป็นโลกที่ผู้ชายเป็นใหญ่ และหนังเกือบทุกเรื่อง นักแสดงหญิงก็มักจะได้เงินน้อยกว่านักแสดงชายเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เช่นเรื่อง Mr.&Mrs. Smith ที่เป็นบ่อเกิดตำนานรักของคู่เลิฟซุปตาร์ แบรด พิตต์ กับ แองเจลิน่า โจลี่ แม้ในเรื่องทั้งคู่จะออกลีลาบู๊พอๆ กัน แต่โจลี่กลับได้ค่าเหนื่อยแค่ครึ่งเดียวของอดีตสามี ซึ่งตอนนั้นฟันค่าตัวเหนาะๆ ไปถึง 20 ล้านเหรียญ หรือราว 700 ล้านบาท
ส่วนนางเอกมาแรงแห่งยุค เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ แม้จะฮอตปรอทแตกแค่ไหน แต่ตอนแสดงหนังรางวัลเรื่อง American Hustle สาวเจลอว์ และนางเอกรุ่นพี่ เอมี่ อดัมส์ กลับได้ส่วนแบ่งจากกำไรของหนังแค่ 7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ในขณะที่นักแสดงหนุ่มๆ ทั้ง เจเรมี่ เรนเนอร์ คริสเตียน เบล และ แบรดลี่ย์ คูเปอร์ ได้กันไปคนละ 9 เปอร์เซ็นต์
ไม่เพียงนักแสดงหนัง แต่ปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศ ยังลามไปถึงวงการทีวี ถึงขนาดที่นางเอกมือรางวัล โรบิน ไรท์ ต้องออกมาเรียกร้องขอขึ้นค่าตัวในการแสดงซีรีส์ฮิต House of Cards ให้เท่ากับที่ เควิน สเปซี่ย์ ได้รับ คือ 5 แสนเหรียญต่อตอน เช่นเดียวกับสาว จิลเลี่ยน แอนเดอร์สัน ที่ยื่นคำขาดว่า เธอจะยอมเล่นซีรีส์ The X-Files เวอร์ชั่นรีบูทใหม่ ก็ต่อเมื่อได้ค่าตัวเท่าพระเอกของเรื่อง เดวิด ดูคอฟนี่ย์ เท่านั้น ซึ่งก็แน่นอนว่าผู้สร้างก็ต้องทำตามเงื่อนไขของ จิลเลี่ยน ดีกว่าเปลี่ยนตัวนักแสดง
จากข้อมูลของสถาบันวิจัยเกี่ยวกับสตรี ระบุว่ ผู้หญิงมักจะได้ค่าตอบแทนน้อยกว่าผู้ชายราว 20 เปอร์เซ็นต์ แม้จะทำงานเหมือนกัน ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า ผู้หญิงไม่มีทางได้ค่าตอบแทนเท่ากับผู้ชายจนกว่าจะถึงปี 2152 โน่นเลย ดังนั้น เราก็จะยังคงได้ยินปัญหาเรื่องความเลื่อมล้ำทางเพศ ไปอีกนานเลย