
ออสการ์ ครั้งที่ 89 หนีประเด็นการเมืองไปไม่พ้น เพราะเหล่าคนดังต่างถือเป็นโอกาสแสดงความไม่เห็นด้วยกับนโยบายกีดกันผู้อพยพ และแบนวีซ่า 7 ชาติมุสลิมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และแสดงออกด้วยการติดริบบิ้นสีน้ำเงินมาเดินพรมแดง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าพวกเขาสนับสนุสหภาพแห่งเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน เพื่อปกป้องและรักษาสิทธิพลเมือง
ขณะที่พิธีกรของงานนี้ จิมมี่ คิมเมล ก็ปล่อยมุขจิกกัด ทรัมป์ ตั้งแต่ตอนพูดเปิดงาน ว่านี่คือการถ่ายทอดสดที่มีผู้ชมนับล้านคนในอเมริกา และผู้ชมอีก 225 ประเทศทั่วโลก ที่กำลังเกลียดประเทศของเราอยู่ พร้อมล้อเลียน เมอรีล สตรีพ ที่ถูกทรัมป์โจมตีว่าเป็นนักแสดงที่ถูกตีค่าสูงเกินจริง ด้วยการเล่นมุขให้ทุกคนในดอลบี้ เธียเตอร์ ลุกขึ้นปรบมือให้แก่นักแสดงที่ไม่สมควรได้รับความชื่นชมที่สุดในฮอลลีวูด ซึ่งคนบันเทิงฮอลลีวู้ดก็พร้อมใจกันตบหน้าท่านประธานาธิบดีด้วยเสียงปรบมือที่ดังกึกก้องเลยทีเดียว แถมจิมมี่ยังกล้าที่จะทวิตข้อความหาท่านผู้นำโลกกลางงานออสการ์ โดยบอกว่า เมอรีล ฝากทักทายมาด้วย
นอกจาก โดนัลด์ ทรัมป์ คนที่โดน จิมมี่ พาดพิงตลอดทั้งงาน ก็คือ แมท เดม่อน ที่เรียกว่าเป็นคู่ปรับแบบขำๆ กับ จิมมี่ มาตลอด
อีกมุขที่หลายคนประสานเสียงชมว่า เวิร์คม้ากกก คือ การที่จิมมี่เปิดประตูให้นักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งเข้ามามีท แอนด์ กรี๊ด กับกองทัพซุปตาร์ดาราโลกแบบไม่ได้ตั้งตัว ซึ่งเหล่าผู้โชคดีที่ได้เข้างานแบบไม่ต้องมีบัตรเชิญก็ไม่พลาดเก็บเกี่ยวโอกาสใกล้ชิดดาราคนโปรดชนิดที่คอหนังต้องอิจฉาตาร้อนเลย
มาถึงอีกหนึ่งสีสันที่เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกของการจัดงานออสการ์เลยก็ คือ การโปรยถุงขนมลงมาจากหลังคาให้ผู้ร่วมงานได้รองท้อง ก่อนจะได้ปาร์ตี้จัดหนักหลังจบงาน
และประเด็นการเมืองในงานออสการ์ปีนี้ก็ยังไม่จบแค่หน้าพรมแดง เพราะบนเวทีก็เห็นได้ชัดว่า ผู้ประกาศรางวัลก็ขอมีเอี่ยว แสดงทัศนะทางการเมืองเช่นกัน ซึ่งคนที่ชัดเจนที่สุด ก็คือพระเอกเม็กซิกัน กาเอล การ์เซีย เบอร์นัล ที่บอกชัดระหว่างประกาศรางวัลภาพยนต์แอนิเมชั่นยอดเยี่ยมว่า ในฐานะชาวละตินอเมริกัน และในฐานะมนุษย์คนหนึ่งเขาต่อต้านการสร้างกำแพงทุกรูปแบบที่แบ่งแยกผู้คนออกจากกัน ทำเอาได้รับเสียงปรบมืออย่างท่วมท้น
รางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ก็ยังคงถูกโยงกับการเมือง เมื่อหนังอิหร่าน The Salesman คว้ารางวัลไปครอง โดยผู้กำกับ Asghar FAhardi ไม่สามารถมารับรางวัลด้วยตัวเองได้ เพราะโดนนโยบายแบนวีซ่า 7 ชาติมุสลิมพ่นพิษ จึงต้องส่งตัวแทนดีกรีนักบินอวกาศหญิงชาวอเมริกันเชื้อสายอิหร่านมารับรางวัลแทน แต่ก็ไม่พลาดส่งสารมาประณาม โดนัลด์ ทรัมป์ ว่านโยบายนี้สะท้อนถึงความไร้มนุษยธรรมอย่างแท้จริง
และคงจะเป็นเพราะหลายปีที่ผ่านมา ออสการ์ถูกโจมตีมาตลอดว่าไม่มีความหลากหลายทางเพศและเชื้อชาติ ปีนี้ออสการ์จึงจัดเต็มด้วยการให้ผู้ประกาศรางวัลสาขาต่างๆ เป็นการจับคู่ของความแตกต่างทางเชื้อชาติ ทั้งฝรั่งผมทอง, ละตินอเมริกา ไปจนถึงเอเชีย
ที่สำคัญ ออสการ์ปีนี้บรรดาคนผิวสียังพากันสร้างสถิติใหม่ให้โลกจารึก เริ่มจาก ไวโอล่า เดวิส เจ้าของรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม จากเรื่อง Fences ที่กลายเป็นนักแสดงผิวสีคนแรก ที่คว้ารางวัลด้านการแสดงจาก 3 เวทีใหญ่ คือ ออสการ์ เวทีสำหรับภาพยนตร์ เอ็มมี่ อวอร์ด สำหรับวงการทีวี และ โทนี่ อวอร์ด สำหรับละครเวที
และปีนี้ยังเป็นออสการ์ปีแรกที่มีผู้ชนะเป็นคนผิวสีมากที่สุด นอกจาก ไวโอล่า เดวิส ยังมี มาเฮอร์เชล่า อาลี นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จาก Moonlight แบร์รี่ เจนกิ้นส์ และ Tarell Alvin McCraney กับรางวัลบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม และผู้กำกับ Ezra Edelman ที่เป็นเจ้าของรางวัลหนังสารคดียอดเยี่ยม จากเรื่อง O.J. :Made in America ซึ่งหนังสารคดีเรื่องนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นหนังที่ยาวที่สุดที่คว้าออสการ์ กับความยาวถึง 7 ชั่วโมง 47 นาทีเลยทีเดียว
ปิดท้ายด้วย สถิติที่น่ายินดีของ ผู้กำกับ เดเมียน ชาเซล จากหนังเพลง La La Land ที่กลายเป็นผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุด ที่ได้รางวัลออสการ์ ด้วยอายุเพียง 32 ปี