หลานชาย “น้องมีบุญ” ยาวิเศษ ทำให้ “ต้อย เศรษฐา” สู้โรคร้ายจนอาการดีขึ้น

อาการดีวันดีคืน สำหรับนักแสดง และศิลปินอาวุโส “ต้อย เศรษฐา ศิระฉายา” ที่มีอาการป่วยเป็นมะเร็งปอด จนร่างกายซูบผอมไปจนแฟน ๆ แสดงความเป็นห่วงอย่างมาก จนกระทั่งเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีการเผยแพร่ภาพของอาต้อยที่มีหน้าตาสดใสออกมา


ล่าสุดลูกสาวคนเก่ง “อีฟ พุทธธิดา” ที่ไปร่วมงานงานเปิดตัวแบรนด์ DIMENSION ของ CHATEAU DES GEMS ได้อัปเดทอาการของคุณพ่อว่าตอนนี้ดีขึ้นมาตามลำดับ โดยได้รับประทานยาเม็ดใหญ่ ๆ ซึ่งคุณพ่อป่วยเกือบ 2 ปี เท่ากับอายุของลูกชายตนเองอย่าง “น้องมีบุญ” อาการของคุณพ่อไปในทิศทางที่ดี
“ใครที่เจอก็จะพูดว่าไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณพ่อจะไม่สบาย ก็ต้องขอบคุณทุกท่านจริงๆ ที่ให้ความรักแล้วก็ความเป็นห่วงคุณพ่อ แล้วก็ครอบครัวของเรา ไปที่ไหนก็จะมีแต่คนถามว่า เป็นยังไง ดีขึ้นไหม ใช้วิธีอะไรบ้าง มีเทคนิคให้กันอยู่เรื่อย ที่สำคัญให้กำลังใจครอบครัวด้วย ทั้งอี๊ฟ แล้วก็คุณแม่ ต้องขอบคุณทุกคนมาก ๆ”

อีฟยังบอกอีกว่าลูกชาย “น้องมีบุญ” เหมือนยาวิเศษ เพราะว่าปกติคนป่วยก็จะป่วย ซึม แต่คุณพ่อเวลาอยู่กับหลานจะไม่มีความป่วยเลย อุ้มเด็กที่หนัก 14 กิโลกรัม เหมือนไม่ป่วย ขนาดตนเองเป็นแม่อุ้มลูกยังเจ็บสะบักเลย ถมยังอุ้มเดินไปไหนมาไหน ขึ้นลงบันได ตนมักจะเตือนคุณพ่ออยู่เสมอว่า พ่อไม่มีอะไหล่แล้ว หลานชายยังซ่อมตัวเองได้อยู่ ที่พูดแบบนั้นเพราะเราอยากให้เขาระวังตัวเองมาก ๆ ถึงจะทำได้ด้วยพลังใจ ก็ไม่อยากให้เบียดเบียนพลังกายมากเกินไป



“น้ำหนักของคุณพ่อตอนแรกหายไปประมาณ 12 กิโลกรัม ตอนนี้น้ำหนักดีดขึ้นมาครึ่งทางแล้ว ซึ่งโดยโรคและการรักษา ถ้าใครมีญาติ หรือคนในบ้านป่วยเป็นโรคนี้ก็จะเข้าใจว่า หลังการรักษาโดยการคีโม ผู้ป่วยจะกินไม่ค่อยได้ ซึ่งคุณพ่อและหลายคน ก็จะเอาใจใส่ในการทาน ทำให้ข้อจำกัดในการทานอาหารน้อยลง แต่ทางบ้านก็พยายามคัดสรร แล้วก็เลือกสิ่งที่คุณพ่อทานได้ดี ให้เขาทาน แล้วก็ไม่ได้ตีวง ข้อจำกัดมากจนเกินไป จนเขารู้สึกว่าเขาเป็นทุกข์ เพราะว่าสิ่งสำคัญมากที่จะต่อสู้กับโรคนี้ได้คือความสุข ความมีเป้าหมาย ที่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้ป่วยอยากต่อสู้กับมัน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องให้กำลังใจกัน ไม่บีบรัดตัวเขามากจนเกินไป”

กระบวนการรักษาต่อจากนี้ จะมีการให้ยาอีก 2 ครั้ง และรอดูว่าเป็นยังไงบ้าง ถ้าหยุดยาแล้ว ทุกอย่างก็ต้องดูไปตามอาการ เพราะมีปัจจัยความเสี่ยงอื่น ๆ เพิ่มขึ้น ก็ต้องระวังมากขึ้น คุณหมอจะให้ความเอาใจใส่ในเรื่องของการดูแลในชีวิตประจำวัน
“ก่อนหน้านี้คุณหมอค่อนข้างเครียด เพราะอย่างที่ทราบคุณพ่อเป็นระยะ 4 แล้ว และด้วยอายุของเขาเอง มันค่อนข้างต้องลุ้น แต่จากผลการรักษาที่ผ่านมา คุณหมอเก่งมาก ๆ เราทำงานเป็นทีม ผู้ป่วยให้ความร่วมมือกับหมอและคนที่บ้าน ถามว่าคุณพ่อคิดถึงวงการบันเทิงไหม คิดถึงนะ เขาคิดถึงเพื่อนฝูง คิดถึงการทำงาน ยังไม่ได้หยุดการทำงาน แพลนกำลังจะกลับมาทำงานใหม่ คุณหมอไม่ได้ห้าม อยู่ที่คนไข้ว่าเขาไหวแค่ไหน คนต้องประเมินตัวเองให้ได้ว่าตัวเองไหวแค่ไหน ท่านกลับมาทำงานได้แต่ไม่หักโหม ก็ทำละคร ทำเบื้องหลังเป็นผู้จัด ส่วนเรื่องร้องเพลง เขาแพลนแล้วว่าถ้าไม่มีโควิด มีวัคซีนแล้ว เขาแพลนที่จะจัดคอนเสิร์ต พ่อบอกว่าขอให้หายก่อนครับ จัดคอนเสิร์ตแน่นอน คุณพ่อเขาอยากทำงาน เพราะถ้าอุ้มหลานได้ก็น่าจะทำงานได้เนอะ (ยิ้ม) เราเองไม่ได้ห้าม แต่สิ่งที่กังวลคือปัจจัยอื่น ๆ ที่เราควบคุมไม่ได้ เพราะคนที่เป็นโรคนี้และให้ครีโมจะเผชิญกับภูมิคุ้มกันต่ำ แทบจะไม่มีภูมิ เขาจะมีความเสี่ยงมากกว่าคนปกติ เราจะกังวลเรื่องนี้มากกว่า” .-ไนน์เอ็นเตอร์เทน

เข้าชม 3,195 ครั้ง
ดูข่าวเพิ่มเติม