
ลูกทุ่งชั้นครู ชาย เมืองสิงห์ วัย 85 ปี เอ่ยปากว่าทราบข่าวการจากไปของราชินีลูกทุ่งคนแรกของไทยอย่าง ผ่องศรี วรนุช แล้วยอมรับว่าใจหายเหมือนกัน แต่ตอนนี้จะให้ไปไหนมาไหนมันก็ลำบาก ด้านลูกชาย ตี๋ นฤพนธ์ ก็เผยว่าคุณพ่อเวลาไปงานศพพอกลับมาบ้านก็จะมีอาการป่วยตลอด ซึ่งไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร ซึ่งจะเกิดทุกครั้ง หลัง ๆ มาก็เลยมีข้อตกลงกันว่าให้พ่ออยู่ที่บ้าน ส่วนลูกก็จะรับหน้าที่เดินทางไปร่วมงานศพเอง พ่อแค่ส่งแรงใจไปก็พอ
ก่อนที่ ชาย เมืองสิงห์ จะเล่าถึงความผูกพันกับ แม่ผ่อง ว่าเราเป็นคนภาคเดียวกัน เขาอยู่ชัยนาท เราอยู่สิงห์บุรี เรารักและนับถือกัน แม่ผ่องไม่ได้เป็นนักร้องมาก่อน แต่เริ่มจากการเล่นละครเวที หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสได้ร่วมงาน ไม่ถึงขั้นสนิท นาน ๆ เจอกันทีหนึ่ง แต่ก็เป็นคนบ้านเดียวกัน ซึ่งแม่ผ่องได้รับเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติก่อนตน 3 ปี เห็นผ่องศรีทรมานมากนาน แต่แม่ผ่องก็ทำบุญมาเยอะ มีอะไรก็ถวายทำบุญตลอด ส่วนใหญ่ข่าวตามทีวีพ่อเองก็จะฟังบ้างว่าข่าวบ้านเมืองเป็นยังไง พอเราแก่แล้วเราก็จะเริ่มสนใจมากยิ่งขึ้น ส่วนลูก ๆ ก็มักจะชอบดูละครมากกว่า
ถึงแม้จะอายุเยอะแล้วแต่ ชาย เมืองสิงห์ ก็ยังรักในการร้องเพลงไม่มีเปลี่ยน โดยเผยว่าทุกวันนี้เวลาอยู่บ้านคนเดียวก็มีเหงาบ้าง เพราะลูก ๆ ก็ไม่ได้อยู่กับตนตลอด แต่เวลาเหงาเมื่อไหร่เราก็จะหยิบจับเพลงเก่า ๆ มาประยุกต์ใหม่ เอาเพลงเก่ามาเปลี่ยนภาษาหลาย ๆ ยุค ส่วนภาษาใหม่ ๆ ก็มีการถามจากลูกสาวบ้าง แต่เวลาได้มาออกงานเจอผู้คนอย่างวันนี้ (19 เม.ย.68) ก็มาร่วมงานรดน้ำขอพรศิลปินแห่งชาติ และแถลงข่าววันเพลงลูกทุ่งไทย ซึ่งก็ทำให้มีความสุขมาก ๆ ถึงกับจดโพยในมือว่าวันนี้จะมางานอะไรเพราะกลัวลืม ในงานก็มีการซ้อมร้องเพลงด้วย เวลาได้ร้องเพลงจะมีความสุขมาก ๆ เป็นศิลปินจะมานั่งทุกข์ไม่ได้ เราห่างเหินจากลูกศิษย์ลูกหา พอกลับมาเจอคนในวงการเดียวกันมันก็ทำให้ได้คุยกันถึงเรื่องราวเก่า ๆ คิดว่าวงการลูกทุ่งบ้านเราก็คงอยู่ต่อไป อยากให้อยู่นาน ๆ เพราะเป็นของคู่บ้านคู่เมือง ขณะที่ลูกชายเผยว่าเร็ว ๆ นี้จะมีซิงเกิลใหม่ โดยเป็นการนำเพลงของ ครูไพบูลย์ บุตรขัน มาให้พ่อชาย เมืองสิงห์ ร้องอีกครั้ง โดยมีการทำดนตรีให้เป็นดนตรีปัจจุบัน คือเพลง “กลิ่นโคลนสาบควาย” ที่เลือกเพลงนี้เพราะเนื้อเพลงมีท่อนคำว่า “อย่าดูหมิ่นชาวนาเหมือนดั่งตาสี” ซึ่งคำว่า “สี” คือชื่อพ่อของคุณ พ่อชาย เมืองสิงห์
ส่วนสุขภาพของ ชาย เมืองสิงห์ ตอนนี้เรียกได้ว่าสามวันดีสี่วันไข้ ถ้าหากทำงานหนักก็จะมีเหนื่อย หรือทำงานดึกก็ไม่ได้ แต่ถึงยังไงถ้าขึ้นเวทีแล้วทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น ส่วนที่ล้มเดือนที่แล้วตอนนี้ก็ต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ต้องนอนชั้นล่างของบ้าน อาจจะต้องระมัดระวังเรื่องการเดินเป็นพิเศษ ถ้าตอนลูก ๆ อยู่ด้วยก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากพ่อต้องอยู่คนเดียวก็อาจจะต้องระมัดระวัง เดือนหน้าก็มีพบหมอเพื่อตรวจเช็กสุขภาพ แต่ยาบำรุงกำลังของพ่อที่ดีที่สุดคือการได้ออกมาร้องเพลง และได้ออกมาเจอเพื่อน ๆ ร่วมวงการ .-ไนน์เอ็นเตอร์เทน