เจนนี่ รัชนก เผยอดีตเคยหลงตัวเอง เปรียบตัวเองเหมือนแมว 9 ชีวิตฝ่ามรสุมดรามา

นักร้องลูกทุ่งสาวแดนใต้ “เจนนี่ รัชนก” ออกมาเปิดเผยเรื่องราวชีวิตกับพิธีกรดัง “วู้ดดี้” ว่าอดีตที่ผ่านมาเคยหลงตัวเองว่ามีอิทธิพลในโซเชียล สุดท้ายได้เรียนรู้และปรับแก้ตัวจนกลาย “เจนนี่” เวอร์ชันใหม่ และตอนนี้ลูกคือลมหายใจทุกวันนี้อยากเป็นแม่ที่ดี


“แมว 9 ชีวิต มันผ่านอะไรมาเยอะมาก ๆ มาวันนี้เหมือนเป็นเจนนี่เวอร์ชันใหม่ พี่ก็เหมือนพี่ชายคนหนึ่งที่หนูอยากให้รู้ว่าวันนี้หนูโตขึ้นแล้วนะคะจะบอกว่าไม่ร้องไห้ก็คงไม่ได้ แต่อยากให้รู้ว่าหนูดีขึ้นมาก ๆ ค่ะ มันไม่ใช่เมื่อก่อนที่เจอดรามาก็ร้องไห้ ถ่ายวิดีโอ โวยวายงี่เง่าเป็นเด็ก เดี๋ยวนี้พอเจอดรามาก็คิดวิเคราะห์แยกแยะตั้งสติก่อนทุกครั้ง ไม่ใช่ว่าจะมองข้ามหรือมองผ่านไม่ตอบไม่สนนะคะแต่แค่ตั้งสติก่อนว่าแบบไหนดีที่สุด

แต่มันก็ติดอยู่ในใจนิดนึง เสียใจค่ะ เพราะว่าบอกทุกคนตลอดว่าอยากมีครอบครัวที่ถ้ามีรูปติดฝาผนังก็คือ 5-6 คนขึ้น อยากมีลูกเยอะ ๆ อยากให้ตัวเองมีความสุขที่แท้จริง จากคนที่เป็นลูก จากเด็กที่เกิดมาจากเราเหมือนร่างกายของเรามันสะสมความเครียดเกินไป คือคนแรกหนูรู้เลยว่าเขาเสียไปเพราะหนูร้องไห้ทุกคืน ตั้งแต่รู้ว่าท้องเจอร้องทางบ้านหนักมากร้องเช้าเที่ยงเย็น เราก็รู้เพราะมีเลือดไหลสุดท้ายไปหาหมอน้องก็หลุดก็ได้แต่โทษตัวเองว่ามันเป็นเพราะเครียด บางสถานการณ์ที่เราไม่เคยมันก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ที่จะร้องไห้ออกมา ก็ยังโทษตัวเองที่ทำให้คนที่เรารักอีกคนเสียใจมากคือแฟน คือเขาร้องไห้เป็นเดือนเลย ผ่านมาได้เพราะเข้มแข็งเพราะว่า ยูจิน เขาไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลย แต่เราร้องไห้ทุกวันลืมแม้กระทั่งสั่งข้าวให้ลูก ลืมแม้กระทั่งให้ความรักเขา ในเมื่อสิ่งที่มีค่าที่สุดก็นั่งอยู่ตรงนี้เราก็ควรที่จะโฟกัสเขา หนูถึงบอกทุกคนว่ายูจินคือลมหายใจของหนู ถ้าวันนี้หนูไม่มียูจินอาจจะไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้วก็ได้เพราะว่าสิ่งที่เจอในชีวิตมันหนักมากที่จะใช้ชีวิตต่อ แต่ทุกวันนี้หนูใช้ชีวิตเพราะอยากเห็นเขาเติบโต อยากรู้ว่าเขาโตมาแล้วจะเป็นอะไร เป็นนักร้อง เป็นดาราไหม


ต่อให้คุณมีเงินเป็นร้อยล้านพันล้าน ถ้าคุณโดนคนที่คุณรักเสียใจก็จบเลย บอกเลยว่าชีวิตหนูอยู่ต่อได้เพราะคนรอบข้าง ไม่ใช่เงินทองหรือของรอบกาย ไม่ใช่บ้านหลังใหญ่ที่หนูมี ต่อให้วันนี้หนูมีบ้านหลังใหญ่แต่ถ้าไม่มีลูก ไม่มีสามีที่ดีอยู่ข้างๆ เราก็คงไปต่อไม่ไหว หนูบอกกับสามีทุกวันว่าคิดถึงวันที่หนูขายรองเท้ามากๆ เลย ค่ะ พูดจากใจเลย เพราะวันนั้นหนูขายรองเท้าโดยไม่มีแรงกดดันอะไรเลย สนุกกับการได้ขายของ ขายเท่าไหร่ก็ไม่มีดราม่าจะพูดแหกปากยังไงคนก็ไม่ด่า แต่ทุกวันนี้หนูจะพูดอะไร 1 คำเป็นข่าวทั้งประเทศ ผิดนิดเดียวคือชีวิตโดนทัวร์ลงเลย แต่ถามว่าอยากกลับไปไหม ไม่อยากกลับไปค่ะ (หัวเราะ) เป็นวันนี้ดีแล้ว

หนูตั้งใจมาจากบ้านเลยว่าจะเป็นพลังบวกให้พี่และให้ทุกคนให้ได้ คือหลังจากที่ข่าวดรามามันเยอะจนทุกคนอคติ เจอเจนนี่เมื่อไหร่ทุกคนรู้สึกลบรู้สึก Toxic หนูอยากให้ทุกคนได้รับพลังงานใหม่ค่ะ เป็นพลังงานที่ประสบความสำเร็จและพลังงานที่มีแต่ความสุข ควบคุมทุกอย่างค่ะเมื่อก่อน คิดว่าทุกคนคือเราควบคุมได้ ใครด่าก็คือฉันสามารถพูดกลับไปเพื่อควบคุมคุณได้ว่าอย่ามามีสิทธิ์ด่าฉัน มีปัญหาภายในค่าย ในครอบครัว ศิลปินในค่าย ก็คิดว่าตัวเองควบคุมได้ว่าต้องเป็นอย่างนั้น ๆ จนทุกวันนี้รู้แล้วว่าเราควบคุมไม่ได้และเราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ สิ่งที่เปลี่ยนได้คือตัวหนูเองเท่านั้นค่ะ ต้องเปลี่ยนตัวเองเยอะมากเพื่อที่จะอยากทำงานในวงการ อยากทำงานที่เรารักต่อ สอนให้ตัวเองปล่อยวางเข้าใจแล้วว่าอะไรที่ควบคุมไม่ได้คือให้เปลี่ยนที่ตัวเอง

ส่วนน้องลิลลี่โตมาด้วยกันอยู่กับหนูมาทั้งชีวิต จนวันที่หนูแต่งงานแล้วตัดสินใจมาอยู่กรุงเทพฯ นั่นก็เป็นวันที่เขารู้สึกเสียใจและร้องไห้เยอะที่สุดในชีวิต ทำใจไม่ได้ ไม่กินข้าว ไม่ลงจากห้องไม่อะไรเลย เพราะรู้สึกว่าหนูทิ้งเขาไปรักคนอื่นมากกว่า หนูพยายามส่งข้อความหาเขาบอกว่าถ้าวันหนึ่งลิลลี่มีครอบครัวจะเข้าใจ ซึ่งมันไม่ใช่วันนี้ พี่ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ใกล้ลิลลี่แต่สัญญาว่าจะซัพพอร์ตเรา พยายามอธิบายแรก ๆ เขาก็ไม่ฟังหรอกค่ะ เพราะรู้สึกว่า พี่เจน รัก พี่ยิว มากกว่า จนกระทั่งเขารู้ว่าพี่เหนื่อยมากนะคือไหนจะน้อง ไหนจะลูกไหนจะแฟน ครอบครัว งาน ร้องไห้ใส่เขาเยอะมากแล้วเขาก็เริ่มสงสารหนูและเข้าใจก็พูดได้แค่ว่าถ้าว่างก็มาหาน้องนะ นี่ก็บอกว่าถ้าว่างก็ขึ้นมาอยู่กับพี่สิ ก็ไม่มาอยู่ดีเพราะว่าชอบอยู่ใต้ ตอนนี้ดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ แล้วก็แอบชอบชีวิตอิสระแล้วด้วยซ้ำไม่มีพี่คอยตามคอยห้าม


เกือบเลิกสามีเพราะคนอื่นเยอะมาก หนูขอโทษเขาทุกครั้งที่หนูมีโอกาสเลย ตั้งแต่เขาเข้ามาในชีวิตคือเขาเครียด จากเขาพลังบวกเยอะกลายเป็นว่าชีวิตเขามีแต่เรื่อง Toxic คนภายนอกอาจจะเจอนาน ๆ ที แต่เขาอยู่กับหนูทุกวัน เขาเครียดไปกับหนูอะไรก็ไม่รู้ปัญหาเยอะมากกับดรามาของการเป็น เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น มันไม่ได้สนุก ไม่ได้เรียบง่าย ขอโทษเขาเยอะมากจนกระทั่งเขาก็ตกผลึกไปแล้วว่า เขาเคยถามตัวเองว่าเขาอยากไปจริง ๆ ไหม อยากเลิกกับหนูจริง ๆ หรือเปล่า แล้วเขาบอกว่าสุดท้ายไม่อยากเลิกเพราะรักหนูมาก คิดไม่ออกว่าถ้าวันหนึ่งไม่มีเขาหนูจะอยู่ตรงไหน หนูจะอยู่ยังไงจะร้องไห้กับใคร กินข้าวกับใคร จะปรึกษาเรื่องที่คนอื่นไม่รู้ยังไง เขาเลยบอกว่าขออย่างเดียวคือต่อไปนี้อย่าให้เรื่องของคนรอบตัวหรือคนอื่นมาทำให้เรามีปัญหาซึ่งกันและกัน เข้าบ้านช่วยเป็นเจนนี่ที่เป็นแฟนเขาคนเดียวได้ไหมที่แบบไม่ใช่ไปเอาพลังลบหรือไปทะเลาะกับใครมาแล้วมาลงกับเขา ไปเจอเรื่องอะไรมาก็มาใส่ที่เขา ก็ตกลงกัน จนกระทั่งเขาบอกว่าหนูทำได้ และหนูก็ทำได้ดีจริง ๆ ตั้งแต่หนูตัดทุกอย่างออกจากชีวิตเหลือแค่เราและลูก หนูรู้สึกว่าเรามีความสุขมากขึ้น และหนูต้องขอบคุณที่เขายังอยู่

น้องยูจิน น่ารักมากค่ะ ขอบคุณที่เกิดมา ขอบคุณที่มาได้ทันเวลา ไม่รู้ว่าถ้าไม่มีเขา เราอาจจะตายไปแล้วจริงๆ เขาคือลมหายใจของหนูที่ทำให้อยากจะมีชีวิตในทุก ๆ วัน อยากตื่นมาทำงานเพื่อเขา อยากเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อเขา อยากเป็นแม่ที่ดี อยากเป็นเจนนี่เวอร์ชันใหม่ อยากให้สังคมเปิดใจก็เพราะเขา เพราะไม่อยากให้ลูกโตมากับแม่ที่โดนทัวร์ลงบ่อย ๆ ทุกวันนี้ตั้งแต่มียูจิน จากที่เมื่อก่อนถ้าลงคลิปหรือลงรูปอะไรก็ช่างคนด่า 80% แต่ทุกวันนี้แทบไม่มีเลย แถมมีคนมาปกป้องด้วยซ้ำถ้ามีใครมาด่าเรา รู้สึกว่านี่คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็น ระยะเวลามันพิสูจน์แล้วว่าตั้งแต่เรามีลูก เราดีขึ้นจริง ๆ ชีวิตนี้หนูสามารถทำทุกอย่างเพื่อเขาได้ สามารถตายแทนเขาได้คำนี้ที่พ่อแม่เขาพูดกันเราไม่รู้ว่ารู้สึกยังไง แต่วันนี้เรารู้แล้ว

ความจริงพูดกี่ครั้งก็เหมือนเดิม ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายด้วย แต่ความจริงที่ว่าต้องออกมาจากสติปัญญาที่จะสื่อให้คนรู้ เมื่อก่อนก็คือความจริงแต่สื่อออกไปแล้วมันดูเหมือนโกหกเพราะว่าเราไม่มีสติปัญญาในการใช้ชีวิต เราใหม่ เราเพิ่งดัง เรากำลังรวย มีอำนาจบารมีของโซเชียลมาก หลงตัวเองช่วงแรก ๆ ก็ยอมรับ แต่ความจริงวันนั้นกับวันนี้ยังเหมือนเดิมค่ะแค่สื่อออกมาคนละแบบ ซึ่งแบบนี้มันเพอร์เฟคมากกว่า หนูได้เรียนรู้แล้ว การใจเย็น มีสติ ต้องถามตัวเองก่อนว่าจริงหรือเปล่า เพราะบางทีที่เขาด่ามันคือความจริงแต่เราแค่รับไม่ได้ ถ้ามันจริงก็ไม่เป็นไรก็ขอโทษแล้วกันนะ” .-ไนน์เอ็นเตอร์เทน

เข้าชม 137 ครั้ง
ดูข่าวเพิ่มเติม