จากกรณีเมื่อช่วงค่ำวานนี้(7 มิ.ย.67)นักร้องซอฟต์ร็อก หนุ่ม กะลา ฟ้องด้วย ทนายเดชา ตั้งโต๊ะแถลงปมที่ หนุ่ม ยื่นฟ้องภรรยา จูน เพ็ญชุลี ในนามบริษัท กล่าวหาว่า จูน ยักยอกเงินของบริษัทจำนวนเงินกว่า 66 ล้านบาท เพราะต้องการให้ภรรยาชี้แจงว่าเงินทั้งหมดหายไปไหน พร้อมขอให้ จูน ช่วยปิดหนี้บ้าน หนี้รถ หนี้คอนโด รวมกว่า 20 ล้านให้ และขอเงินติดตัว 5 ล้านบาท เพื่อให้ทุกอย่างจบ จะได้เซ็นใบหย่าแยกย้ายกันไปใช้ชีวิต ต่อมา จูน โต้กลับผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมกับชี้แจงละเอียดยิบว่าว่าเงินที่ได้มาเอามาใช้จ่ายอะไรบ้าง ถึงได้มีรายจ่ายต่อเดือนสูงถึง 700,000 บาท พร้อมถามกลับสามีว่าแบบนี้หรือคือการยักยอก ก่อนที่ทั้งคู่จะคอมเมนต์เถียงกันดุเดือนผ่านโซเชียล และตกลงกันว่าให้ไปเจอกันที่ศาล ขณะที่ทนายพัฒน์ อนุสรณ์ หรือ ทนายเมียหลวง ทนายความของ จูน ก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความส่งกำลังใจให้ลูกความผ่านเฟซบุ๊ก ทั้งยังเปิดเผยข้อมูลถึงโทษที่ จูน ถูกกล่าวหาว่าหากแพ้คดีต้องติดคุก 1,356 ปี ตอนนี้ จูน ยังไม่พร้อมให้สัมภาษณ์ อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เพื่อจะได้ตอบได้ถูกต้องและชัดเจน
คาวมคืบหน้าล่าสุดเมื่อช่วงค่ำวันนี้(8 มิ.ย.67) ทนายพัฒน์ ทนายความของ จูน ตอบข้อซักถามของสื่อมวลชนที่ตามไปทำข่าว หลังได้พูดคุยกับ จูน เกี่ยวกับประเด็นที่เกิดขึ้นระบุว่า “กรณีที่ทำงานรับเงินในนามบริษัท แต่เบิกจ่ายเข้าบัญชีบุคคล ถือว่ามีความผิด ต้องมองว่าวัตถุประสงค์ของการใช้เงินว่าสามีภรรยาคู่นี้ใช้เงินกันมาตั้งแต่แรกแบบไหน อาจจะในนามของห้างหุ้นส่วนแต่วัตถุประสงค์ของการใช้ว่าใช้ไปเพื่ออะไรประโยชน์อะไร ไม่ใช่ว่าการโยกจากห้างหุ้นส่วน นิติบุคคล มาที่ส่วนบุคคลจะเป็นความผิดทุกกรณี จากการตรวจสอบหลักฐานการโอนเงิน ไม่ได้มีโอนออกไปแค่ทางจูน แต่มีการโอนออกไปยังบุคคลอื่น ๆ อีกหลายคน หรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย มีทั้งในรูปแบบของการเบิกเงินสดและการโอน ถามว่าหลักฐานที่มีสามารถสู้ได้ 100% มั้ย ในฐานะทนายไม่ได้ตอบแบบนั้น เชิงการต่อสู้ในฐานะทนายที่ทำคดี ต้องเสนอพยานหลักฐานให้ศาลท่านพิจารณาน้ำหนัก ไม่ได้ดูแค่สเตตเมนต์ แต่ต้องดูหลักฐานอื่น ๆ ประกอบด้วย ส่วนตัวไม่สามารถตอบได้ว่าทำไมคู่กรณี ถึงยกข้อกฎหมายข้อนี้มาฟ้อง ไม่สามารถตัดสินใจแทนใครได้ เหตุผลที่ จูน ยังไม่พร้อมให้สัมภาษณ์ ทนายเมียหลวงเล่าว่า จากการที่ตนเองได้พูดคุยกับ จูน รู้สึกได้ว่าสภาพจิตใจของอีกฝ่ายไม่โอเค มีเรื่องของเครียดหนักกับเรื่องที่เกิดขึ้น ในเมื่อตอนนี้เป็นข่าวและเป็นคดีความไม่สามารถที่จะล้มได้ต้องตั้งสติ ในการแก้ปัญหา กรณีที่ จูน พูดว่าจะค่อนข้างเสียความรู้สึกกับสิ่งที่พี่ผู้ชายทำ จากการได้พูดคุยกับ จูน เจ้าตัวคิดว่าควรที่จะมีการมาพูดคุยกันดี ๆ หาช่องทางเจรจาหรือมีผู้ใหญ่พูดคุยกันเพื่อหาทางออก ไม่อยากให้มีการฟ้องที่เป็นแบบนี้ยิ่งเป็นคดีอาญาด้วย ถ้าพลาดมามีโอกาสที่จะติดคุก จูน ค่อนข้างที่จะเสียใจ นั่นอาจจะเป็นที่มาของการเสียความรู้สึก ถามว่าก่อนหน้านี้ได้มีการไกล่เกลียกันไหม จากการพูดคุย จูน เล่าให้ฟังว่าก็ได้มีการพูดคุยกับพี่ผู้ชายผ่านทาง LINE ในเรื่องครอบครัวอยู่แล้ว แต่เรื่องที่มันเป็นปัญหาหลัก ๆ อาจจะไม่ได้มีการพูดคุย ให้มันชัดเจน จูน ไม่รู้ว่าจะมีหมายศาลมาที่บ้าน
ส่วนประเด็นที่อีกฝ่ายให้ข้อมูลมาว่า จูน บ้าแบรนด์เนม ใช้ของแบรนด์เนม ส่วนตัวไม่ได้พูดคุยกันถึงเรื่องนี้ แต่เท่าที่ดูการแต่งตัว จากความรู้สึกส่วนตัวมองว่าโดยปกติของคนที่อยู่ในสังคมระดับนี้ หน้าที่การงานฐานะทางสังคมระดับนี้ มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะต้องใช้แบรนด์เนม แต่ก็ไม่ได้เกินไป ส่วนเรื่องการให้สัมภาษณ์สื่อ จูนอยากจะให้สัมภาษณ์ที่รายการโหนกระแสก่อน ให้เป็นพื้นที่ที่เดียวที่พูดและขยายทีเดียวจบ ในส่วนของสื่ออื่นก็ต้องขอโทษด้วย แต่จะออกร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม ต้องดูที่สภาพจิตใจของ จูน ด้วย จูน ยังไม่พร้อม เพราะถ้าจะไปหลักฐานต้องแน่นอนชัดเจน ตอบให้ได้ชัดทุกข้อ ในฐานะทนายไม่ได้มีความกังวลใจหรือหนักใจอะไร ถ้า จูน มีหลักฐานที่แน่นอนชัดเจนที่จะสามารถอธิบายได้ แต่สิ่งที่หนักใจคือไม่อยากให้มันมีการต่อเนื่อง อยากให้หาพื้นที่ในการเจรจาแล้วให้มันจบ ตอนนี้ให้จูนรวบรวมหลักฐานที่จะสู้คดี เพราะเป็นหน้าที่ของจูน ส่วนคดีฟ้องร้องบุคคลที่สาม ศาลชั้นต้นสั่งให้คู่กรณีชดใช้ 4,000,000 แต่ฝั่งคู่กรณีอาจจะไม่พอใจ คำพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงได้มีการอุทธรณ์อยู่ จูนเองก็คิดว่าสมควรอุทธรณ์ให้ 10,000,000 ตามที่ขอ คดีอยู่ในระหว่างของการอุทธรณ์ต้องรอ ศาลอุทธรณ์พิพากษาและพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน
ขั้นตอนหลังจากนี้ อาจจะต้องไปมีการไต่สวนมูลฟ้อง ถ้าศาลประทับฟ้องก็ต้องมีการนำสืบพยาน นำพยานหลักฐานเข้าต่อสู้กัน ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง 23 กรกฎาคม 67 นี้ เวลา 8.30 น. ที่ศาลแขวงสมุทรปราการ การนัดไต่สวนมูลฟ้องเป็นเรื่องของโจทก์กับศาล ส่วนจำเลยจะไปเองหรือมอบหมายให้ทนายไปก็ได้ เบื้องต้นเท่าที่คุยจูนบอกว่าจูนอยากไปชี้แจงเองเลยจะได้ชัดเจนตั้งแต่แรก จูนฝากมาขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ ส่วนข้อคิดเตือนใจที่ทนายอยากจะฝากเรื่องของครอบครัวมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เราไม่รู้ว่าสถานะครอบครัวของคู่แต่ละคู่เป็นยังไง ต้องฟังเหตุผลทั้งสองฝ่าย มันอาจจะไม่มีใครถูกหรือไม่มีใครผิดเพียงแต่เขาอาจจะไม่เข้าใจกัน เพราะยังไม่มีเวลาหรือได้หาพื้นที่ในการเจรจากันจริง ๆ คดีในลักษณะนี้ค่อนข้างที่จะจบด้วยการเจรจา เพียงแค่ให้ทั้งคู่ได้ปรับความเข้าใจกัน ได้เจรจากันแค่นั้นก็จบ ถามว่าเคสนี้เขาจะไกล่เกลี่ยกันไหมไม่ทราบครับ ไม่ทราบว่าทางคู่กรณีอยากจะไกล่เกลี่ยไหมหรือคดีอื่นอยากจะไกล่เกลี่ยไหม แต่ในฐานะที่เป็นทนายของจูน อยากให้เน้นที่การเจรจาไกล่เกลีย เพื่อหาทางออกดีกว่า ส่วนที่จูนและสามีโต้เถียงกันผ่านโซเชียลถึงจำนวนเงินที่เข้ามา 17 ล้าน จูน เล่าให้ฟังว่าในปี 2566 ที่จูนไม่ได้ดูงบบัญชีแล้ว ยอดมันเด้งขึ้นมาเป็น 21 ล้าน ส่วนบริษัทที่เปิดก็น่าจะเป็นการเปิดร่วมกันสำหรับการเซ็นเบิกจ่ายขึ้นอยู่กับนิติบุคคลนั้นตกลงกันว่า มีเงื่อนไขในการเบิกจ่ายอะไรยังไง แต่ละที่ไม่เหมือนกัน แต่ในเคสนี้คือพี่ผู้ชายเป็นคนเซนคนเดียว เบื้องต้นมี 2 ส่วนคือการกดเงินสด หรือ เบิกจ่ายปกติหน้าเคาท์เตอร์ และส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของการโอน แต่ จูน อาจจะดูแลในเรื่องของแอปพลิเคชัน จึงสามารถโอนออกได้ บริษัทนี้มีหุ้นส่วนอยู่สี่คน แต่ผู้ถือหุ้นหลักหลักคือสามีภรรยา ตอน ที่คุยกันจนยอมรับว่าเมื่อคืนร้องไห้ซึ่งเราก็เข้าใจว่าเค้าเจ็บและจุก หรือต้องละเอียดอ่อนมากเหมือนกัน
ส่วนประเด็นเรื่องหย่า เท่าที่คุยกันลึกลึกจูนก็ยังไม่พร้อม สัมผัสได้ว่าไม่อยากหย่า เท่าที่คุยกันในฐานะทนาย ทราบว่าครอบครัวเขา ไม่ค่อยมีความสุขเท่าที่ควรนัก อาจจะไม่ราบรื่นประมาณ 1 ปี พอถาม จูน ก็บอกว่าประเด็นนี้ขอข้ามก่อน การอยู่กินกันเป็นเรื่องของความสมัครใจของทั้งคู่ ต้องฝั่งทั้งคู่จริง ๆ ส่วนที่ฝ่ายโน้นเค้ายื่นคำขาดว่าต้องการที่จะหย่า แต่ฝ่ายหญิงไม่ยอมหย่าหรือเป็นเหตุของการฟ้องหรือเปล่า ต้องชี้แจงว่าเรื่องนี้ มันไม่ใช่การฟ้องหย่าเลยตอบไม่ได้ว่าทางพี่ผู้ชายต้องการอะไร ไม่รู้ว่าเค้าจะตัดสินใจยังไง เงินที่พี่ผู้ชายเค้า 5,000,000 ต้องไปดูว่าจูนสามารถจ่ายได้ไหม.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน