2 ซุปตาร์ลูกทุ่งคู่ซี้ ก้อง ห้วยไร่ และ เบิ้ล ปทุมราช ควงคู่กันมาเปิดใจผ่านรายการ เบิ้ล AM เผยความรู้สึกได้รับของแปลกหน้าเวทีจากแฟน ๆ พร้อมเล่าจุดเริ่มต้นความรักที่ความผูกพันแบบพี่น้อง และการวางแผนรับมือหากหนึ่งไม่มีชื่อเสียงแล้วจะทำอย่างไรกับชีวิต
โดย ก้อง เผยว่า ของแปลกที่แฟน ๆ นำมามอบให้หน้าเวที ผมมองว่าละเอียดอ่อนกับความรู้สึกเรามากกว่า
บางคนเอาเป็นสิ่งมีชีวิตมาให้ ผมรู้สึกสงสาร รับให้หน้าเวทีแล้วก็ส่งคืนเขาทันที เอาจริง ๆ อย่าเอามาเลยมันอาจจะได้คอนเทนต์สนุกสนาน แต่สภาพจิตใจผมแย่มาก แกล้งสนุกไปกับพวกเราอย่างนั้นแหละ กลัวพวกเราเสียหน้า ส่วนเรื่องที่ก่อนหน้านี้มีช่วงหนึ่งที่ เบิ้ล ตัดสินใจว่าจะอยู่ อาร์สยาม หรือจะอยู่กับผม คือผมได้ยินเขาร้องเพลงผ่านสื่อในโซเชียล แล้วก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้มีศักยภาพทั้งหน้าตาและความสามารถจะไปต่อได้ ในจุดที่เราอยู่ตอนนั้นเพลง ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน เริ่มมีคนรู้จักแล้ว เลยอยากจะชวน เบิ้ลมาอยู่ด้วย แต่เบิ้ลบอกว่าขอตัดสินใจก่อน ตอนนั้นก็มีค่ายมาทาบทามเบิ้ลด้วย เรายังไม่รู้ว่าเขาจะตัดสินใจยังไง ถ้าเบิ้ลตัดสินใจไปอยู่กับผมตั้งแต่ตอนนั้น ก็อาจจะไม่ได้เป็นนักร้องที่มีศักยภาพที่ชัดเจนขนาดนี้ เพราะสุดท้ายแล้วค่ายเพลงค่ายหนึ่งมันไม่สามารถที่จะชูโรงได้ทุกคน ก็ต้องมีเบอร์หนึ่งอยู่แล้ว เป็นการตัดสินใจที่ดี ส่วนความสนิทสนมของเรา เราเป็นเหมือนกระจกสะท้อนกันและกัน คือมีไม่กี่คนนะครับในชีวิตเรา ไม่ว่าจะเป็นผัวเมียก็ตามบางทีมันไม่กล้าเป็นกระจกให้กันและกัน กระจกคือการพูดความจริง เวลาส่องความเป็นจริงให้ใครสักคนหนึ่งได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา ถ้าเขาเป็นคนที่เปิดใจยอมรับมันจะเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะเห็นสิ่งที่ไม่ดีในตัวเอง แต่ถ้าไม่เปิดใจ เขาจะทุบกระจกนั่นทิ้ง นั่นก็หมายถึงความเป็นเพื่อนพี่น้องก็จะแตกหักกันไป
เพราะฉะนั้นเลยมีไม่กี่คนที่จะกล้าเอาความจริงมาเล่าให้เราฟัง ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่น่าฟังสำหรับคนที่ไม่ยอมรับความจริง อยากจะบอกเขาว่าสิ่งที่เราต้องยอมรับให้ได้ การเป็นศิลปินนักร้องที่มีคนรู้จักเยอะ ครั้งหนึ่งเคยมีจุดที่มันพีคสูงสุดในชีวิตทำอะไรก็ดีไปหมด ถ้าวันหนึ่งมีน้อง ๆ รุ่นใหม่เข้ามา ได้รับความสนใจมากกว่าเราเผื่อใจตัวเองยังไง มีวันหนึ่งที่พี่เจอคำถามจากพ่อ มีปลาตัวหนึ่งจะทำยังไงให้ได้กินเยอะที่สุดนานที่สุด พี่ก็ตอบว่าเอาไปตากแห้งก็ผิด ไปแช่ตู้เย็นก็ผิด พ่อบอกว่าปลาตัวนั้นอาจจะไม่ตัวใหญ่มากแต่ว่าลองสับมันเป็นร้อยชิ้นแล้วก็ให้ทุกบ้านกิน ถึงมันจะน้อยแต่ถ้าเขาอิ่มวันหนึ่งเขาก็อาจจะให้เรากลับมา”
ด้าน เบิ้ล เผยว่า “ช่วงหนึ่งที่ตัดสินใจว่าจะมา อาร์สยาม หรือจะอยู่กับ ก้อง ห้วยไร่? ผมคิดอยู่ 2 อย่างคือถ้าไปอยู่กับพี่เราจะเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ถ้าผมไปอยู่อีกค่ายอาร์สยามเราจะเป็นคู่แข่ง ผมก็เลยอยากจะเป็นคู่แข่งของพี่ ซึ่งคู่แข่งในที่นี่ไม่ใช่การอยากเอาชนะ ถ้าเราไปอยู่กับเขาเราจะเป็นร่มเงาของเขาตลอดชีวิต เราจะไม่มีวันเป็นตัวของตัวเอง เพราะผมจะเห็น ก้อง ห้วยไร่ เป็นไอดอลตลอดชีวิต แต่ที่ผมตัดสินใจออกไป ถ้าเกิดวันหนึ่งผมดังได้กลับมาเจอกัน เราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่จะเป็นคู่แข่งเพื่อพัฒนาศักยภาพ ถ้าผมไปอยู่กับพี่ก้องตั้งแต่แรกก็ไม่รู้ว่าผมในวันนี้จะเป็นแบบไหน อาจจะมีปัญหาแล้วแยกออกจากกันอีกก็ได้ ส่วนความสนิทสนมของเรามันมีสตอรี่มานานมาก อยากขอบคุณพี่ก้องนะครับ ที่เป็นเพื่อนที่ดีมาก
สำหรับจุดกำเนิดของการเป็นดูโอในคอนเสิร์ต เบิ้ล – ก้อง ปัจจัยหลักคือ ผมบอกกับพี่ก้องว่าถ้าผมอยากสนับสนุนใครสักคนในชีวิตหรืออยากออกงานด้วยกันมันต้องเป็นพี่ก้องและผมไม่มีวันทะเลาะกับคนนี้ เพราะผู้ชายคนนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าเวลาอยู่ใกล้เขา เหมือนเป็นกระจกที่ดี เอาความจริงคุยกัน แล้วสุดท้ายอยากจะบอก ก้อง ห้วยไร่ ว่ามันแบบนี้ได้ไงว่ะ (หัวเราะ) สิ่งที่อยากจะบอกพี่ก้องก็คือ วันนั้นที่พี่ก้องพูดปัจจุบันผมเป็นคนนี้ คนที่ทำอะไรดีไปหมด ดีจนตกใจ คืออยากจะบอกว่าผมนอนคิดนะ ถ้าวันหนึ่งผมกลายเป็นคนแก่มีตีนกา คิดอย่างหนึ่งว่าต้องมีน้องคนหนึ่งเกิดมาให้เป็นเบิ้ลแล้ว แล้วผมจะเป็นก้องคนนั้นที่แก่มีตีนกา แล้วจะออกงานคู่กับน้องคนนั้น พี่ก้องถามผมว่าเบิ้ลข่มใจตัวเองได้ไหมถ้าวันหนึ่งจะต้องพักจริง ๆ ไม่ได้ไปต่อ จะใช้ชีวิตยังไง คำตอบของผมคือต้องมีเงินพอที่จะใช้ชีวิต มีเงินพอที่จะอยู่กับคำว่าสมัยก่อนเคยดัง มันคงถึงเวลาที่ต้องใช้ชีวิตจริง ๆ แต่การใช้ชีวิตในที่นี้หมายความว่าชื่อเสียงเงินทองที่ได้มาในช่วงนั้นเราใช้แบบไหน ถ้าผมใช้แบบสะเปะสะปะคิดว่าเราดังไม่มีวันลง คือตกลงมาผมตายแน่ ผมดาวน์แน่ แต่ทุกวันนี้ผมเปรียบเสมือนการยืมสิ่งของเขามา สักวันหนึ่งก็ต้องคืน แต่เราจะคืนในสภาพไหน สภาพที่มันแหลกเหลวนอนป่วยในโรงพยาบาลไม่มีเงินรักษาไม่มีญาติพี่น้องไม่มีเพื่อนฝูงไม่มีตังค์เลี้ยงดูตัวเอง แต่ผมอยากจะคืนในสภาพที่มันดี ผมคืนชื่อเสียงให้แล้วนะแต่เงินเป็นของผม”.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน