จากกรณีมีแม่ค้าปูดองรายหนึ่ง ออกมาติดป้ายที่ห้างดังย่านบางใหญ่ หวังทวงเงินจากดาราตลก จั๊กกะบุ๋ม เชิญยิ้ม เป็นเงินจำนวน 284,400 บาท หลังส่งสินค้าเป็นปูดองน้ำปลาให้เป็นจำนวน 20 ล็อตแต่ไม่ได้รับเงินส่งบาท เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2567 ต่อมา จั๊กกะบุ๋ม เดินทางไปที่สถานีตำรวจเพื่อลงบันทึกประจำวัน ยืนยันเพื่อเป็นหลักฐานว่าตนเองไม่ได้คิดหนีหนี้แต่อย่างใด พร้อมเปรยจำนวนเงินสูงขนาดนี้จริงหรือเปล่า เพราะคู่กรณีไม่เคยชี้แจงรายละเอียดราคาของ และแจงเงินนี้ไม่ใช่เงินกู้ยืมแต่เป็นการลงทุนร่วมกันต่างหาก ตามที่เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้
ล่าสุดวันนี้(2 เม.ย. 2567) จั๊กกะบุ๋ม เชิญยิ้ม และ แม่ค้าปูดอง พร้อมทนาย เดินทางไปออกรายการโหนกระแส พร้อมกัน ซึ่งฝ่ายแม่ค้าได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นฝั่งตนไปแล้ว ขณะที่ดาราตลก จั๊กกะบุ๋ม ก็ได้ออกมาชี้แจงในมุมตัวเอง ระบุว่า “ผมแมนพอที่จะยืดอกรับความจริง ไม่ให้ใครมาฉวยโอกาสในความผิดพลาด เพื่อประโยชน์ให้กับตัวเอง ต้องขอโทษทุกคน
เรื่องราวคือเราทำธุรกิจกับเพื่อน อยู่ดี ๆ โดนเพื่อนหักหลังธุรกิจ เงินที่มีอยู่ หายไปแบบชั่วข้ามคืม เหมือนคนสิ้นเนื้อประดาตัวในข้ามคืน ก่อนที่เราจะมารู้จักแม่ปูนา เราก็ตัดพ้อมาก่อน เราไม่มีเงิน โดนหักหลัง โพสต์เฟซบุ๊กเพื่อบ่งบอกสถานะตัวเองมาตลอด แต่ระหว่างนี้เราก็ไปออกบูธขายปลาร้าทอด ทำมานานตั้งแต่ปี 53 จนได้ไปเจอแม่ปูนา โดยที่แม่ปูนามีบูธข้าง ๆ ผม มีการคุยกัน แต่เราไม่ได้สนใจเพราะผลิตแบรนด์นี้ให้พ่อเป็ดเชิญยิ้มอยู่ เราไม่ได้สนใจเพราะขายปลาร้าดีอยู่แล้ว ถึงจะไม่มีเงินแต่ก็ยังมีเงินส่งหนี้สินที่เกิดขึ้นมา
จนมีข้อความจากแม่ปูนาทักขึ้นมาในเฟซบุ๊ก เขาถามว่าเราสนใจเรื่องปูนาดองน้ำปลามั้ย ก็มีการโทรหากัน เราถามว่าแม่มันคืออะไรค่ะ เขาบอกพี่บุ๋มเอาไปไลฟ์ขาย กำไรเอามาแบ่งกัน เราถามว่าแม่ผลิตให้พ่อเป็ดไม่ใช่หรอ เราทำไม่ได้หรอก แม่บอกไม่ได้ผลิตให้พ่อเป็ดมาแล้วเพราะจบไม่สวย
วันที่เราคุยกับเขา เราทดลองขายทางออนไลน์แล้ว เรายังคิดว่าดีจังเลย มาลงทุนให้ มาซัพพอร์ตเรา ล็อตแรกส่งมาให้ 100 กระปุกที่อยุธยา วันนั้นขายไม่ได้เลย แต่ปลาร้าผมหมดแล้ว เหลือของของเขา ผมขายไม่ได้เลยต้องเดินไปตามร้าน ตามบูธเพื่อระบายของ ทำยังไงก็ได้ไม่ได้ค้าง พอของเหลือเราก็ขนของกลับบ้าน 100กระปุก ในตอนนั้นเรามานั้นคิดว่า มีของค้างสต็อกอยู่กับตัว 100 กระปุก ช่วงแรกยังขายไมได้ เหนื่อยหน่อยนะ เพราะตอนนั้นเริ่มทดลองขาย มันยังไม่มีช่องทางการตลาด เลยมีโอกาสช่องทางที่แปดริ้ว เอาของไปขายเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ แต่ก่อนหน้าที่ผมจะขายของ ผมได้บอกแม่ตลอดว่า ตอนนี้ผมมีหนี้สินที่ต้องส่งรายวันอยู่นะครับ ผมไม่มีทุนเลย ถ้าผมเอาเงินให้แม่ ผมจะไม่มีเงินส่งรายวัน”
แม่ปูนา “พี่ไปสืบมา รายวันตัดแค่ 24 วัน ของพี่เรื้อรังมา 24 วันแล้วนะคะ”
จั๊กกะบุ๋ม “ธันวาคม มันยอดเล็กน้อย ผมขออนุญาตก่อนนะ ถ้าทำงานและไม่เคยคิดมีความรู้สึกเบี้ยวแม่เลย นั้นคือการโทรคุยเดือนธันวาคม ขอแล้ว มีหนี้เท่าไหร่เอาไปส่งก่อน ผมก็ก็บอกว่า 3 ม.ค. ผมโดนอายัดบัญชี ผมบอกเขาไปแล้ว ตอนนี้ผมไม่มีเงินเลย ผมขอยืมเงินแม่ 1 หมื่นบาท เขาก็ให้ผม เขาโอนมาให้ผม เขาดีจังเลย ช่วยเรา แต่ระหว่างทาง ตั้งแต่ 4 มค.-28ม.ค. เราไม่มีเงินเลยนะ เราขายของแค่เสาร์-อาทิตย์ แต่วันธรรมดา เราปรึกษาแม่ว่ามีที่ไหนให้เราได้ไปลงตามตลาดนัด ได้มีเงิน มาคืนแม่ แม่ก็แนะนำว่าให้ไปขายที่นั้น ๆ สิ”
“แต่ที่เราจะอธิบายคือ ถ้าเราไม่ได้บอกแม่ หรือเอาเรื่องนี้เอาเงินไปใช้โดยผละการ แม่เขารู้อยู่แล้ว เราติดหนี้รายวัน ทำไมถึงขึ้นป้ายทวงหนี้ สิ่งที่ผมได้ยินกับแม่เวลาที่ผมคุยโทรศัพท์คือไม่นั้นผมจะกล้าเอาเงินที่ขายของไปใช้ได้ยังไง”
“ระหว่างทางมีคุย มีเล่าปัญหาตลอด หาเงินไปเรื่อย ๆ ทำงานเพื่อหาเงินใช้หนี้ของตัวเอง และก่อขึ้นมา ทำงานทุกบาทเราต้องการนำเงินมาคืนแม่และใช้หนี้ ในแต่ละงานที่เราคาดหวัง มันจะมีงานนี้งานใหญ่ ผมจะมีโอกาสคืนเงินให้แม่แล้วนะครับ งานนี้ผมจะมีเงินให้แม่แล้วนะ แต่ระหว่างที่บอก คือวันที่ผมไม่เคยมีเงินเลยสักบาทเดียว ตั้งแต่ปลายก.พ. เราไม่ได้รับของมาขาย เรารู้ว่าไม่มีเงินให้แม่ ผมก็ขายปลาร้าเพื่อประทังชีวิตไป ปลายมี.ค. เราก็บอกว่าก่อนทีจะถึงงานพี่หม่ำ ช่วยส่งของให้หน่อยได้ไหม ผมจะเอาไปขายที่นี้ ๆ แม่ช่วยส่งของให้ผมหน่อย เอามาทำทุน แม่จะส่งของยอดล็อตใหม่ให้เอง แล้วเริ่มเอายอดใหม่ที่แม่ส่งให้คืน ของเก่าทยอยให้แม่”
“แล้วเราจะไปต่อยังไงกันดี เราบอกนั่นสิแม่ แม่ต้องช่วยผมนะ แม่ให้ผมเอาปืนของเขาไปขาย แม่บอกเอาปืนไปขายให้แม่หน่อย เราได้เอาเงินมาทำทุนกัน แม่ให้เอาบ้านไปขายให้บ้าง”
“วันที่ 28 มี.ค มีการคุยกับแม่ ลค.ตามของออนไลน์ แม่ตามของให้ พรุ่งนี้(29มี.ค.)ไปขายของมั้ย พรุ่งนี้แม่จะไป แม่มาได้เลย ซึ่งแม่มาจริง ๆ หิ้วปูนาไป 3 กระปุก เอามาให้พ่อหม่ำช่วย ผมบอกแล้วว่าแบรนด์นี้แม่ผลิตให้ผม แม่จะมาคุยอะไร มาคุยกับพี่หม่ำเรื่องยอดผม คือแม่จะมาทวงถามผมใช่มั้ย แม่เป็นหนี้แม่ แม่ต้องคุยกับผม 2 คนสิ จบงานนี้งานพ่อหม่ำผมจะทยอยให้ ผมรู้แล้วว่าผมจะเริ่มมีเงินดีขึ้น จะทยอยให้ จนพ่อหม่ำกลับเขาก็มาวี๊ดกับผมเลย ว่าทำไมไม่ได้คุยเลย ยืนโวยวายอยู่ข้างหลังผม เราก็โทรให้เขาได้ยิน ถ้าพี่บุ๋มไม่ให้แม่ไปหาพ่อหม่ำ ก็เอาเงินมา 2 พันบาท เราบอกให้กลับไปก่อน เดี๋ยวเหลือเงินจากที่ส่งรายวันเสร็จแล้วจะโอนให้
จนเริ่มได้ยินเสียงแม่โวยวาย มันเริ่มไม่ชอบมาพากล ตัดใจยกโทรศัพท์ขึ้นมา มีอยู่ 5 พัน ผมกดโอนไปให้ 2 พันบาท ผมไม่รู้ว่าแม่เห็นหรือเปล่า เลยคิดว่าโอนเงินแล้ว คงเชื่อใจเราแล้ว คงกลับไปแล้ว ทั้งที่ผมพยายามอธิบายให้ฟัง ว่ามีรายวันที่ต้องส่งอยู่นะ ถ้าเงินเหลือจากส่งรายวัน ผมจะโอนให้แม่ ผมรู้อยู่แล้วว่าติดหนี้อะไรบ้างขอเหลือแค่วันเท่านี้ได้ไหม”
ทนายไพศาล “ถ้าไม่แขวนป้าย คุณเสื่อมเสีย แต่เขาไปขึ้นป้าย ไปหาเงิน เป็นการตัดพ้อ เขามีข้อสู้ มีส่วนได้ส่วนเสีย เขาไม่ได้ใส่ความ บอกว่าได้โปรดเมตตาคืนค่าสินค้าด้วยเถอะ มันคือลมหายใจ ถ้อยคำเป็นการตัดพ้อ เจตนาบริสุทธิ์ ไม่สุจริต 2 บอกเป็นทางแพ่ง ซื้อขายหุ้นส่วน แต่พอฟังแล้ว เขามาขอค่าสินค้า หนี้ต้องมีการชำระ คุณไม่เคยชำระเขาเลย แล้วบอกว่า ขายไม่ได้แล้วสั่งเพิ่มไหม สั่งตลอด แล้วขายได้ไปใช้หนี้ นับถือกับแม่ลูก รู้จัก 3 เดือน เขาไม่ใช่แม่คุณ คุณจะอยากว่าเขาเป็นหนี้ได้ ไม่มีใครช่วยคนอื่นในขณะที่คนจะจมน้ำ ยกเว้นลูกจริง ๆ คุณเข้าข่ายฉ้อโกงนะ ถ้าสืบเส้นเงินการขายของที่อ้างว่าเป็นหนี้ มันเข้าข่ายฉ้อโกงนะ นับไป จำคุก 3 ปี ปรับ 6 หมื่น เข้าข่ายนะ ๆ การขึ้นป้ายผิดนะ พรบ ทวงหนี้ แต่ป้าจะหลุดทันทีถ้าไม่ใช่หนี้ อันนี้ไม่ใช่หนี้ แต่เป็นค่าสินค้า ไม่สืบ ถ้าสืบได้มันเข้าข่ายฉ้อโกง ยืมส่วนยิมเงิน 1 หมื่น บัญชีคุรโดนอายัดจากอะไร ตรวจสอบ
ฟังไม่ขึ้นว่าโดนอายัด มันปกปิดข้อเท็จจริง และอย่าเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาาส เข้าข่ายจริงแต่เขามีข้อสู้นะ ถ้อยคำไม่ใช่ใส่ความ แต่เป็นขอความเมตตา พรบ.ทวงหนี้ 1 ปี 1 แสน แต่ถ้าไม่ใช่หนี้ มันยกอีก คนถ้าไม่สุดจริง ๆ มันไม่มาหรอก ถ้าจ่ายเงินเขาไม่มีข่าวแบบนี้หรอก ถ้ามีเจตนาส่อ คุณจะสู้ยังไง ผมเตือนด้วยความหวังดี”
แม่ปูนา “ยอมขายบ้านราคาถูกกว่าราคาประเมิน เพื่อเอามาเป็นทุน เอามาให้ทุกคนได้กิน ได้ใช้ 25 มี.ค. เราช่วยเหลือคนอื่นจนเราเดือดร้อนขนาดนี้”
ทนายไพศาล “เป็นหนี้ไปแจ้งความทำไม?”
จั๊กกะบุ๋ม “ผมไม่ได้คิดจะแจ้งความแต่แรก เพราะผมคิดว่าระหว่างทาง วันคุยกันวันสุดท้าย 29 มี.ค. เราคุยกันมาทุกวัน ผมแสดงความบริสุทธิ์ใจ คือการพูดคุย”
ขณะที่ หมูหยอง หนึ่งในเจ้าหนี้ โฟนอินในรายการ เล่าว่า “ไม่ได้มีปัญหา แค่จะโทรมาถามว่า อ่านไลน์ ตอบไลน์บ้าง แต่ทำไมไม่ตอบไลน์หยอง เราไปทำการแสดงด้วยการ จั๊กกะบุ๋มติดต่อผ่านเรามาให้ไปทั้งวง 6 คน 3 วัน ตกลงค่าตัว 39,500 บาท ทั้งสองฝ่ายรับทราบ ส่งหลักฐานให้ แต่หลังจบงานเราไม่ได้รับค่าตัว ผ่านไป 1 อาทิตย์ก็ทวงถามกันว่า บุ๋มบอกว่า ทางร้านยังไม่โอน เราก็ไม่ติดใจ และหลังจากนั้น ยอดที่ตกลงคือเราได้รับมาแค่ 3 พันบาท หลังจากนั้นก็ติดตามทวงถาม จนผ่านมา 4 เดือนแล้ว ยังไม่ได้รับเงินในส่วนที่เหลือ ล่าสุดมีการอ่านข้อความแต่ไม่ตอบ เห็นมาออกรายการ เลยโฟนอินเข้ามาเลย อยากได้คำตอบ เราไม่เคยโพสต์ประจานหรืออะไร พอมีเคลียร์ให้ อยากได้ยินคำตอบบ้าง ทำไมถึงเงียบ ไม่ตอบผม ไม่ใช่แค่ชีวิตคุณมีปัญหา ทุกคนมีปัญหาหมด”
จั๊กกะบุ๋ม “ขอโทษหมูหยองและทีมงานที่ผมผิดคำพูดในทุกเรื่อง ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ผมมีปัญหาสภาวะการเงินพอดี เป็นมรสุมของผม ไม่สามารถหาเงินมาได้สักทางเดียว ผมยืมเงินมาทั้งวงการแล้ว ผมก็ต้องทำมาหากิน นอกเหนือจากเงินรายวัน หมูหยอง แม่ปูนา ผมไล่ปิดยอดไปแต่ละคน ๆ ปัจจุบันผมไม่ได้ยืมเงินใครแล้ว ผมรู้ว่ายืมใครมาบ้าง ผมต้องจ่ายเขา ผ่านมา 3 เดือน จนเริ่มหายใจคล่องขึ้นแล้ว มีความตั้งใจคืนเงินแล้ว แต่หลังจากเกิดเรื่อง ผมไม่มีรายได้เป็นกอบเป็นกำแม้แต่บาทเดียว จึงผลัดผ่อนมาตลอด วันนี้ไม่ได้ออกมาพูดอะไรเลย ผมมีโลโก้เป็นตลกตกอับมาหลายปีมาก ๆ แล้ว ผมเจียมตัวมาตลอด ไม่เคยกินหรู อยู่สบาย รู้อยู่แล้วว่าต้องเอาเงินให้ใคร ผลกระทบหลังจากนี้ ผมจะไปต่อยังไง วันนี้ใครจะซื้อผม”
“ผมขอโทษทุกคนที่เกี่ยวข้อง คนที่ผมยืมเงินมา คนที่ผมผิดคำพูดทุกคน ผมไม่มีเจตนาไม่คืนเงินใคร วันนี้อย่างที่ทุกคนเห็นคือทำไมผมต้องออกมาขายของ ผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อ แต่ยืนยันจะออกไปขายของ ทำมาหากินเหมือนเดิม ใครจะไม่สันบสนุนผม ผมไม่รู้ แต่ความตั้งใจตั้งใจไปทำมาหากินเหมือนเดิม ช่วยไปสนับสนุนร้านผมแค่นั้นพอ ได้มีเงินมาคืนทุกคน แต่ตอนนี้งานผมถูกยกเลิกแล้วจากนี้ผมไม่มีรายได้แล้ว ต่อจากนี้ สังคมมองผม หลังจากนี้ผมขอกลับไปวางแผนตัวเองก่อน ว่าจะเอายังไง”
แม่ปูนา “ยิ่งพูดยิ่งแย่ พี่ยกหนี้ให้หมด แค่หยุดพูด” ซึ่งจั๊กกะบุ๋มเองยังยืนยันที่จะพูดต่อเช่นกัน
จากนั้น จั๊กกะบุ๋ม มาเปิดใจอีกครั้งผ่านไมค์ไนน์เอ็นเตอร์เทน ถึงเรื่องที่แม่บอกยกหนี้ให้ในรายการ “ผมไม่ต้องการ ผมรู้ว่าผมติดหนี้ คืนแน่นอน แต่ตอนนี้สังคมทุกอย่างมองผมผิดแล้ว ผมกระทำ ทำร้าย มันเป็นโอกาสหลังจากนี้ ผมจะมีโอกาสจากสังคมอีกไหม ผมไม่รู้ชะตากรรมของผมแล้ว ยืนยันไม่ติดพนัน ไม่เกี่ยวกับยาเสพติด เป็นหนี้จากความผิดพลาดทางธุรกิจล้วน ๆ ถ้าทุกคนยังเชื่อความตั้งใจผม ที่ไม่มีความตั้งใจจะไม่คืนเงิน แค่สนุบสนุนเท่านั้น ผมอาจจะชำระหนี้แม่หมดไม่เกิน 1 ปีหรืออาจไม่เกิน 6 เดือนก็ได้ และหนี้ทุกคน ถ้าหมดผมจะดีใจเพราะมาจากน้ำพักน้ำแรง มาจากสิ่งที่ผมตั้งใจไว้แล้ว”
ถามว่ามีหนี้รวม ๆ อยู่เท่าไหร่ “รวม ๆ มีหนี้อยู่ เกือบ 5 แสน ก่อนหน้านี้มันมากกว่านั้น แต่ทยอยคืนไปบ้างแล้ว ผมอาจจะเรียงลำดับความสำคัญผิดไปบ้างก็ได้ แต่ไมได้หมายความว่าผมไม่ให้ ยอดเงินไม่มากเวลาได้มา หลักแสนหลักล้าน แต่เป็นหลักพันหรือหลักร้อย ทุกครั้งที่ชำระไปผมไม่มีเงินเหลือติดตัวเลยนะ”
ในรายการ แม่น้ำตาไหล เรารู้สึกยังไง “เสียใจกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ทุกอย่างมันเกิดขึ้น ทำให้คนในสังคมมองผมไปในทิศทางที่มองไป สุดแล้วแต่ทุกคนจะคิด ยืนยันคำเดิม ไม่มีเจตนาอะไรเลยที่จะไม่ให้เงินแม่ แต่วันนี้เรื่องเกิดขึ้นล้ว เราก็ต้องต่อสู้กับกระแสสังคมที่ตีกลับมาหาผม หาเงินทำงาน หาช่องทางในการหาเงินมาคืนทุกคนให้ได้ ไม่ว่าจะกรณีไหน ๆ แต่ไม่ใช่มาจากการผิดกฎหมายแน่นอน”
ถ้าเรื่องไปถึงกระบวนการทางกฎหมาย “เรายืนยันไม่จงใจฉ้อโกง หรือยักยอกทรัพย์ใด ๆ เพียงแต่การสื่อสารคลาดเคลื่อน ที่ผมไม่รับโทรศัพท์ คือเราไม่รู้จะรับปากเขายังไง ถ้ารับปากแล้วเราผิดนัดอีกล่ะ ก็ไม่รู้จะรับปากยังไง ผมดูไม่น่าเชื่อถือไปแล้ว ผมดูเป็นคนเบี้ยวหนี้ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่ายไปแล้ว ใครจะฟังผม ไม่มีที่เดินในสังคม ก็อยู่กับการตัดสินใจทุกคน ถ้ามองเจตนาผม ผมยืนยันคำเดิม ไม่มีเจตนาจะไม่คืนเงินใคร แค่ให้ทุกคนเปิดใจ ไม่มีเจตนาฉ้อโกงใครทั้งนั้น เนื่องจากการหาเงินของเราไม่เป็นไปตามที่หวังเอาไว้ ไม่มีทางหมดกำลังใจในชีวิตแน่นอน ยืนยันจะออกมาหาเงิน มาดิ้นรนเพื่อใช้หนี้ทุกคน”.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน