นักร้องสาว แจม เนโกะจัมพ์ หรือ แจม ชรัฐฐา เปิดใจครั้งแรกถึงการตัดสินใจผิดพลาดในชีวิต เลือกออกจากวงการเพื่อทุ่มเทกับชีวิตคู่ แต่ชีวิตรักล้มเหลว ไปไม่ถึงวันวิวาห์ ชีวิตเสียสูญจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า เคยคิดสั้นถึงขั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่ สุดท้ายทำใจยอมรับความจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตัดสินใจไปพบจิตแพทย์ รักษาตัว 2 ปี ถึงรู้สึกโอเคขึ้น
โดย แจม เล่าว่า “ตอนที่เป็นโรคซึมเศร้า มันไม่ใช่การตื่นมาตอนเช้าแล้วสามารถรู้ได้ว่าตัวเราเองผิดปกติ แต่มันต้องไปหาหมอ ให้หมอวินิจฉัยว่าเราเป็นซึมเศร้าหรืออะไร เพราะอาการมันจะมาอยู่เรื่อย ๆ ค่อย ๆ เป็นขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัวเลยว่าบุคลิก นิสัยหรือพฤติกรรมของเราเปลี่ยนไป รู้สึกว่าไม่สามารถพบปะผู้คนได้ ไม่อยากเจอใคร งานก็ไม่อยากรับ ไม่อยากเจอแฟนคลับ หรือแม้กระทั่งเพื่อน ไม่คุยกับใครเลย เหมือนเราเก็บตัว ตื่นเช้ามานอนอยู่บนเตียงเฉย ๆ ไม่ทำอะไร โตมาขนาดนี้แล้วผ่านเหตุการณ์ในชีวิตเยอะ ปกติเราสามารถรับมือได้ด้วยเหตุผลต่าง ๆ แต่ว่าช่วงที่เป็นเราไม่มีเหตุผลเลย ไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้เลย จะรู้สึก Negative รู้สึกไร้ค่า เหมือนว่าเราอยากจะตาย (เสียงสั่น ร้องไห้) ซึ่งเป็นความคิดที่แย่มาก ๆ ทำให้ครอบครัวผิดหวัง ทุกคนก็พยายามเข้าหาเรา แต่เราก็ผลักไสเขาออกไป เพราะเราไม่อยากทำอะไรเลย อยากเลิกทุกอย่างในชีวิต มันมืดไปหมด ทั้ง ๆ ที่มีคนอยู่รอบตัว แต่เรากลับรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียว รู้สึกว่าเป็นภาระให้กับทุกคน อยากให้ตัวเองหายไปจากโลกนี้ทุกคนจะได้มีความสุขมากขึ้น ซึ่งเราหยุดความคิดแบบนี้ไม่ได้”
“เราเคยมีชีวิตที่อยู่ในจุดที่สูงกว่านี้ ตอนที่เป็น เนโกะจัมพ์ แล้วพอหลังจากนั้นเราก็เหมือนอยากจะเริ่มบทใหม่ของชีวิต คิดว่าพอแล้วกับการทำงานในวงการ เส้นทางใหม่ของเราคืออยากจะทุ่มเทให้กับการเป็นภรรยาของใครสักคนหนึ่ง อยากที่จะทุ่มสุดตัวให้กับตรงนั้น แล้วพอมันไม่ได้เกิดขึ้น เลยรู้สึกว่าเลือกทางเดินผิด ก็เลยคิดว่าสิ่งที่พ่อแม่เสียสละออกจากการทำงานของตัวเองเพื่อมาสนับสนุนเราแบบเต็มตัวจนมาถึงจุดนี้ แต่ว่าเราเลือกที่จะทิ้ง แล้วพอสิ่งที่คิดว่ามันดีกว่า มันไม่ได้เกิดขึ้นก็เลยคิดว่าเราตัดสินใจได้แย่ ทำให้ทุกอย่างมันล้มไปหมด มันอาจจะไม่ใช่ปัญหาที่ดูเป็นเรื่องใหญ่โลกแตก แต่ว่าในสภาวะของอารมณ์ของการเป็นซึมเศร้ามันใหญ่มาก ๆ ในตอนนั้น คือคิดอย่างอื่นไม่ได้เลย ถ้าคนอารมณ์ปกติเขาจะแบบโอเคทุกคนมีปัญหาในชีวิต เราสามารถผ่านมันไปได้ เครียดหน่อยร้องไห้หน่อยเดี๋ยวมันก็จะจบ เราสามารถเดินออกจากตรงนั้นได้ แต่ว่าพอมันมีปัญหาเป็นโรคซึมเศร้า เคมีในสมองมันผิดปกติไป ทำให้เราเป็นวังวนอยู่แบบนี้แล้วออกไม่ได้เลย ตอนที่เป็นก็ไม่ได้รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร คิดว่าจะจัดการกับมันเองได้ ปล่อยให้อาการมันหนักขึ้น หนักขึ้น แล้วพอรู้เราก็ไม่กล้าที่จะบอกใคร ไม่กล้าที่จะทำอะไรกับมัน เพราะอาย วันที่รู้สึกว่าเราอยากจะหายไป (เสียงสั่น) นอนคิดอยู่กับตัวเองว่าถ้าที่บ้านไม่มีเราดีกว่าไหม (ร้องไห้) หลังจากที่เราคิดแบบนั้น เรานอนอยู่บนเตียงแล้วก็วางโทรศัพท์เอาไว้ แล้วโทรศัพท์แจ้งเตือนขึ้นมาเป็นข้อความในแชตของครอบครัวว่า กินข้าวไหม โอเคไหม หนูรักพี่นะ ก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ได้แล้ว ไม่อยากเป็นแบบนี้แล้ว เราเหนื่อยกับการที่จะต้องเป็นแบบนี้ตลอดเวลา เราอยากหาย ก็เลยเป็นจุดที่ตัดสินใจว่ายอมรับในสิ่งที่มันเกิดขึ้น ยอมรับในสิ่งที่มันเป็น ณ ตอนนี้ ตอนนั้นก็ยังไม่ว่ามันคือโรคซึมเศร้า แต่รู้ว่าจิตใจเราไม่ปกติ เลยตัดสินใจที่จะไปหาจิตแพทย์ รักษาอยู่ประมาณ 2 ปี ถึงรู้สึกว่าโอเคมันหายไปแล้ว ไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว”.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน