จ๊ะ นงผณี เล่าปมจบสัมพันธ์ แจ๊ค ธนพล รักมากแบบตายแทนได้ แต่สุดท้ายไปไม่ถึงวันวิวาห์!

ลูกทุ่งสาว จ๊ะ นงผณี มหาดไทย หรือ จ๊ะ อาร์สยาม เปิดใจพูดครั้งแรก! ในรายการ WOODY INTERVIEW เล่าปมปิดฉากรัก 7 ปี แฟนหนุ่ม แจ๊ค ธนพล สัมมาพรต หมดเปลือก พร้อมเผยมุมอ่อนแอที่ขัดกับลุคส์สาวสตรอง แอบร้องไห้คนเดียวในห้องน้ำ รับเคยคิดลาวงการ เพราะโดนแฟนคลับด่าแรงออกไมค์หน้าเวที


โดย จ๊ะ เผยว่า ก่อนที่จะประกาศเลิกกัน เราต้องคิดเยอะมาก เพราะว่าคบกันมา 7 ปี เคยเลิกกันครั้งหนึ่ง แล้วครั้งนี้มันเป็นอะไรที่รู้สึกแบบว่าเรามั่นใจแล้วหรือยัง เพราะถ้าออกไปประกาศ ปุ๊บ! แล้วกลับมาดีกัน กลายเป็นเราเหมือนเด็กเล่นขายของ เรารักกันมากเลยนะ หนูรักพี่เขา เขาก็รักหนู แต่ความรักอย่างเดียว มันไม่สามารถนำพาให้ไปเป็นชีวิตคู่ได้ มันเลยเป็นข้อที่วันนี้เราจบกันด้วยดี มีอะไรก็สนับสนุนกันเป็นพี่เป็นน้อง ความรักครั้งนี้มันทำให้หนูรู้สึกว่าการชัดเจน มันดีแต่ไม่จำเป็นต้องชัดเจนทุกเรื่องในชีวิต หมายความว่าต่อไปนี้เรื่องความรัก หนูรู้สึกว่าถ้าอันไหนที่เราไม่ได้มั่นใจเลย จะไม่มีทางออกมาบอกชัดเจนเหมือนจ๊ะคนเดิม ไม่อยากเป็นแบบนั้นแล้ว เราโตขึ้นเราต้องรู้ว่าความจริงกับความสบายใจของเรา บางทีมันไม่ค่อยได้ไปด้วยกัน ความจริงคือบอกว่าฉันคบคนนี้นะแต่โลกโซเชียลทุกวันนี้มันไม่ได้ทำให้เราสบายใจ พอเป็นข่าวมันจะมีคอมเมนต์ลบ ๆ เยอะกว่า คอมเมนต์ในทางที่ดี แล้วเราก็เหมือนคนโรคจิต ชอบไปอ่าน ไม่ว่าจะรัก จะเลิก หรือจะทะเลาะก็นิดนึงละ บางทีไม่ได้ทะเลาะแค่โพสต์สตอรี่ หนูโดนด่าแล้ว เลยรู้สึกว่าถ้าฉันไม่ได้เปิดตัวว่าเป็นใครยังไง ในอนาคตก็จะไม่มีประเด็นที่ต้องมาโยง อย่างตอนที่ประกาศเลิกก้ใช้เวลาคิดนานมาก มันเหมือนกับฟางเส้นสุดท้าย ตอนแรกเราคิดว่าเราเป็นคนเข้มแข็ง แต่พอจะโพสต์แค่โพสต์เดียว พิมพ์ ๆ ลบ ๆ แล้วส่งไปให้เขาว่าจะโพสต์ประมาณนี้นะ เราก็คิดนะจะให้ทำยังไงให้มันจบแค่โพสต์เดียว ทั้งหนูและพี่เขาไม่อยากที่จะไปพูด ไม่อยากให้สัมภาษณ์ที่ไหนอีกเลย”

“เราผ่านกันมาทุกอย่างแล้ว เป็นแฟนที่อยู่เหมือนเป็นเพื่อนแล้วด้วยซ้ำไป วันนี้เลยเป็นเพื่อนดีกว่า เราให้ความรักกันมากเลยนะ แบบตายแทนกันได้ แต่การไปถึงคำว่าชีวิตคู่ มันมีหลายปัจจัย มีหลายเรื่อง มีแค่ความรักอย่างเดียวไม่ได้นะ มียิบย่อยที่เขาอาจจะบอกว่าหนูเรื่องนี้พี่ไม่ชอบ หนูก็ทำให้ไม่ได้ หรือบางเรื่องหนูไม่โอเค เขาก็ทำให้หนูไม่ได้ บางทีมันเป็นเรื่องเล็กมาก ๆ แต่พอพูดกันแล้วมันทำให้กันไม่ได้ เราเดินมา 50/50 กันไม่ได้ ก็คุยกันแล้วให้มันจบแค่นั้น ก็เป็นเพื่อนกันไป เพราะเราไม่เห็นต้องบอกเพื่อนเลยว่าเราไม่ชอบเรื่องนี้เธอห้ามทำนะ บางทีเพื่อนทำไม่ได้เราก็ยังคบเพื่อนอยู่ เพราะฉะนั้นคำว่าเพื่อนนี่แหล่ะเหมาะแล้ว เราเดินกันไปแบบเพื่อน ชีวิตโสดที่ต้องพึ่งตัวเองหรืออยู่กับตัวเองให้ได้ก็ท้าทายไปอีกแบบ ท้าทายมาก เพราะตอนเป็นแฟนกันเรามีหน้าที่แค่ร้องเพลง เรื่องง่าย ๆ อย่างรถต้องเอาไปเข้าศูนย์ หรือประกันรถ เราไม่รู้เรื่องเลย เขาจัดการให้เราหมด แต่ตอนนี้เราต้องจัดการด้วยตัวเอง คนมองว่าหนูเป็นคนที่สตรองมาก เจออะไรก็ทนได้หมด โนสน โนแคร์ แต่บางทีมันก็มีมุมที่อ่อนไหวมากเหมือนกัน เราอยู่ในจุดที่เราร้องไห้กับใครไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นลูกน้อง พ่อแม่ เพราะรู้สึกว่าถ้าหนูร้องไห้ไปพ่อแม่เป็นห่วงหนูเลย กับพี่เราก็ร้องไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าเราเป็นหัวหน้าคน มันจะนั่งร้องไห้กับคนทุกคนไม่ได้ สุดท้ายแล้วต้องมาร้องไห้กับตัวเอง เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่าทำไมมันต้องเป็นเรานะ ไม่น่าจะเป็นเราเลยเรื่องนี้ ก็ทำได้แค่ร้องไห้ในห้องคนเดียว ความเปลี่ยนของสังคมแล้วก็ตัวเราทุกวันนี้”

“คือเมื่อก่อนเราเป็นนักร้องลูกทุ่งเราจะได้เล่นงานวัด งานเทศบาล เลานจ์ก็มีบ้าง แล้วความชัดเจนของเราคือ ร้อง เซ็กซี่ เต้น แต่ทุกวันนี้ตั้งแต่เรามีเพลงคอแห้ง Targetลูกค้าเราเปลี่ยน แฟนคลับเราเปลี่ยนคือคนที่ชอบดื่ม แล้วพี่คิดดูว่าต้องไปเล่นให้คนชอบดื่มดูเป็น 500-1000 คนในผับ แล้วเวลาที่ขึ้นมาตั้งแต่เที่ยงคืนตีหนึ่ง ณ ตอนนั้นทุกคนส่วนมากจะไม่ค่อยมีสติ ก็จะได้เจออะไรที่มันแปลก ๆ มีไปเจองานหนึ่งแล้วกลับมารู้สึกว่าไม่อยากอยู่ในวงการนี้เลย เขาให้หนูขึ้นเวลาตี 1 ผับที่นั้นปิดตี 4 หนูขึ้นเพลงแรก ปุ๊บ! มีคนเดินมาแล้วด่าหนู เอารางวัลมาให้หนู 500 บาท แล้วบอกว่าเป็นเ-ย อะไรมาขึ้นช้าจัง เขามารอตั้งแต่ 3 ทุ่มแล้วอี _ด เหตุการณ์นี้เพิ่งเกิดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เป็นอะไรที่แบบฉันจะรับมือยังไงให้ไปต่อได้ เพราะถ้าเป็น จ๊ะจริง ๆ คือลงเวทีเลย ไม่ร้องแล้ว มันเฟลแล้ว แต่ก็ต้องประคองสิตแล้วพูดว่า “พี่คะพี่พูดใส่ไมค์เลย” ซึ่งเขาก็ยังพูดคำเดิมของเขา เราก็ดึงไมค์กลับมา แล้วตอบกลับไปว่า “พี่หนูขอโทษนะคะ หนูเป็นแค่ลูกจ้างเขาจ้างหนูมาให้เล่นตี 1 ก็ต้องขึ้นตี 1″ คนในร้านการ์ดก็เลยมาดึงเขาไป แต่เหตุการณ์นั้นทำให้เรารู้สึกว่าเหนื่อยจังเลยไม่อยากอยู่แล้ววงการนี้ หนูจัดการกับอารมณ์พวกนี้ด้วยการกลับมาสวดมนต์ สวดมนต์นอนทุกคืน ทำมา 8 – 9 ปีแล้ว แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่าผับนี้ฉันจะเมานะ จะสวดมนต์บนรถไปก่อนเลยที่กำลังไปงาน แต่วันนั้นด้วยความที่อารมณ์เรามันไม่ได้ แล้วเพลงแรกหนูก็ไม่ได้ดื่มเลย เหมือนเราอั้นไว้ขึ้นรถก็ร้องไห้ไม่ได้ กลับมาร้องไห้โฮในห้องน้ำ ทำยังไงดีอยากกรี้ด ทำไมมันต้องเกิดกับเราค่อย ๆ หายใจเขาแล้วก็ออกไปสวดมนต์ในห้องพระ แล้วก็พูดกับพ่อแก่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพว่าทำไมมันต้องเป็นกับเรา อันนี้คือวิธีแก้ของหนูที่ดีที่สุด แต่มันก็ไม่ได้หายเลยนะ ในขณะที่เราพูดก็ยังรู้สึก”

“จริงอยู่ว่าปกติเราก็เล่นตอนดึก ๆ กับกลุ่มคนที่ไม่มีสติอยู่แล้ว แต่ไม่ได้เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลย ก่อนที่จะมีเพลง คอแห้ง หนูเล่นงานวัด ผับ ก็มีบ้าง แต่คนที่มาจะดูเราร้องเพลง ดูเราโชว์ 80% อีก 20% เขาอาจจะดื่มแล้วเฮฮาปาร์ตี้ แต่ตอนนี้คนที่มาคือคนที่มาดูจ๊ะ เราก็ต้องดื่มสร้างฟิลล์ ตอนนี้คนที่มาดื่ม 80% อีก 20% คือดูร้องเพลง ซึ่ง จ๊ะ โอเคกับจุดยืนตรงนี้มาก ตอนนั้นที่เราเจอกับคนนั้น เราไม่โอเคเลย แล้วเราก็เอาคนนั้นตัดสินทุกคนเลย แต่พอเวลามันผ่านมารู้สึกว่าคนที่เขาดีกับเรา งานที่เราไปเล่นที่ผ่านมาใน 2 ปีเกิน 600-700 งาน เราเจอคนเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้าน คนที่เขาดีกับเราเยอะมาก แต่เรากลายไปโฟกัสกับคน ๆ เดียวทำไม เราจะมานั่งถามตัวเอง ความคิดเปลี่ยน ทุกวันนี้เราจะวิ่งได้เต็มที่ไม่เกิน 3 งาน แต่ถ้าวิ่งเต็มที่บ่อย ๆ เลยก็จะแค่ 2 งานเท่านั้น เพราะไม่รู้ว่างานแรกเราจะเจอสถานการณ์แบบไหน ถ้าสมมุติว่างานแรกเป็นงานภายใน งานที่ 2 เราจะไม่รับเลย เพราะงานภายในมันต้องจอย คนที่หาจ๊ะไปคือทุกวันนี้ ร้องเพลงร้องไปเถอะ แต่เธอต้องจอยกับฉันนะ ณ วันนี้ภาพเรามันเปลี่ยน เป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์เต็มตัว 9 เพลงแรกเราจะไม่ดื่มเลย เรารู้สึกว่า 80% ที่ดื่ม ก็ยังมีอีก 20% ที่ไม่ดื่มและอยากฟังเพลง เพราะฉะนั้นจริง ๆ หนูต้องเล่นแค่ 1 ชั่วโมง แต่หนูเล่นให้ 1 ชั่วโมงครึ่ง เพราะ 30-40 นาทีแรกคุณฟังเพลงเลย แต่พอหลังจากเพลงที่ 9 เราจะเริ่มจอย เพราะถ้าดื่มตั้งแต่ 3 เพลงแรกไม่ได้ร้องแล้ว เพราะฉะนั้นก็ต้องบาลานซ์ให้ได้ค่ะ”.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน

เข้าชม 613 ครั้ง


ดูข่าวเพิ่มเติม