สิ่งที่เสียไปใครจะชดใช้! เบนซ์ เรซซิ่ง อดีตสามี แพท ณปภา เปิดใจครั้งแรก หลังคืนสู่อิสรภาพ ลั่นจากนี้ขอใช้เวลากับครอบครัว

จากกรณีศาลฎีกามีคำสั่งยกฟ้อง เบนซ์ เรซซิ่ง หรือ เบนซ์ อัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช อดีตสามี แพท ณปภา และพวกข้อหาสมคบค้ายาเสพติด เนื่องจากพยานหลักฐานมีไม่เพียงพอ ส่วนข้อหาฟอกเงินนั้น เบนซ์ เรซซิ่ง ติดคุกกว่า 3 ปี 4 เดือน ถือว่าครบจำนวนแล้ว ซึ่งจะมีการปล่อยตัวออกจากเรือนจำ วันนี้ (24 ต.ค.66) เวลา 18.00 น. ล่าสุดเมื่อเวลา 18.30 น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศบริเวณทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง ถนนงามวงศ์วาน มีครอบครัวของ เบนซ์ เรซซิ่ง นำโดย น.ส.สุพรเพ็ญ วรโรจน์เจริญเดช คุณแม่ของ เบนซ์ และเพื่อน ๆ ของ เบนซ์ เดินทางมารอรับ เบนซ์ ออกจากเรือนจำด้วย


ต่อมาเวลา 19.31 น. เบนซ์ เรซซิ่ง ในชุดเสื้อเชิ้ตสี เดินออกจากเรือนจำพร้อมด้วยคุณแม่ ก่อนจะโผกอดคุณแม่ด้วยความดีใจ และยกมือไหว้สื่อมวลชนที่มารอทำข่าว จากนั้นได้เปิดใจกับหลังได้รับอิสรภาพเป็นครั้งแรกว่า ตลอดระยะเวลา 6 ปี ที่ยืนหยัดในการต่อสู้ ผมเสียทั้งเงิน ทั้งเวลาในการต่อสู้คดี สำหรับคนที่ต่อสู้คดี เราอยู่ด้วยความหวัง เราหวังมาตลอดว่าจะได้ประกันตัว เราต้องชนะคดี แล้วเราก็เสียเงินไปกับคนที่ไม่หวังดีที่มาหลอกในการสู้คดี ประการต่อมาต้องเสียชื่อเสียง ขาดความน่าเชื่อถือ หลังเข้าไปพัวพันกับผู้ค้ายาเสพติด จะคบค้าสมาคมกับใครก็ไม่มีใครกล้าคบค้า เพราะกลัวจะมีความเชื่อมโยงไปกับเราด้วย แต่วันนี้ศาลฏ๊กายกฟ้องเกี่ยวกับข้อหาสนับสนุนผู้ค้ายาเสพติด ขอให้เคารพคำตัดสินของศาลด้วย และอยากจะถามว่าจะมีหน่วยงานไหนชดใช้ผมในสิ่งที่ผมสูญเสียไปได้ไหม สิ่งนี้เป็นแผลในใจผมมาตลอดระบะเวลา 6 ปี สิ่งที่ผมสูญเสียไปนี้คือผมสูยเสียโอกาสที่จะได้เลี้ยงดูลูกชายเพียงคนเดียว ผมไม่เคยได้มีโอกาสที่จะได้สอนลูกเดิน ลูกวิ่งหรือปั่นจักรยาน สอนลูกปั่นจักรยาน ไม่มีโอกาสสอนลูกเรียกพ่อด้วยซ้ำ สิ่งที่สูญเสียไปมันประมูลเป็นมูลค่าไม่ได้ ไม่มีใครสามารถทำให้ผมย้อนเวลากลับไปได้ ในส่วนของคดีความขอให้จบลงเท่านี้ ผมจะได้กลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่อยู่กับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา” ส่วนอดีตภรรยา แพท ณปภา และ น้องเรซซิ่ง ลูกชาย ที่ เบนซ์ อยู่ที่บ้าน เจ้าตัวจะกลับไปเจอหลังจากนี้ สำหรับเงินค่าชดเชยอต้องคุยกับทางทนายดูก่อนว่าจะทำอะไรได้บ้าง ตอนนี้ยังไม่สามารถให้คำตอบได้ ถามว่าได้อะไรจากการอยู่ในเรือนจำบ้าง นิยามการมาอยู่ในเรือนจำของผม ผมคิดว่ามันเป็นการสูญเสียทุกสิ่งที่รักเพื่อที่จะต้องมาใช้ชีวิตอยู่อย่างเวทนานี่คือสิ่งที่ผมสัมผัสได้ อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นว่าคนที่สู้คดีในอยู่ได้ด้วยความหวัง มันไม่เหมือนคนรับสารภาพที่จะรู้ว่าโทษเราเท่านี้ เราจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ เราสู้คดีเราไม่รู้เลยว่าจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ อาจจะต้อง 5 ปี 10 ปี ทุกอย่างเป็นไปได้หมด และตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่นี่ ผมไม่เคยให้ลูกมาเยี่ยมเลย เพราะไม่อยากให้เขาจดจำในภาพที่ไม่ดี เพราะเขาอยู่ในวัยที่จดจำ

สิ่งแรกที่อยากจะทำหลังจากนี้คืออยากใช้เวลาอยู่กับครอบครัว และอยากจะรับประทานอาหารฝีมือแม่ ส่วนแพลนอื่น ๆ ขอไปปรับตัวสักพักก่อนครับ เพราะมันเหมือนเราเพิ่งตื่นจากฝัน เหมือนเราเพิ่งได้ชีวิตใหม่ ในวันนี้ต้องขอบคุณศาลที่เขายังมีความยุติธรรม เพราะก่อนที่จะไปฟังก็มีอยู่แค่จะได้กลับบ้านหรือจะไม่ได้กลับบ้าน แต่ผมก็ยังมีความหวัง และวันนี้ก็มาถึง การที่เรามาใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ มันไม่ได้เหมือนว่าเราติดคุกแค่คนเดียวเหมือนญาติพี่น้องติดไปกับเราด้วย เขาอาจจะทุกข์กว่าเราด้วยซ้ำ เราอยู่ข้างในไม่รับรู้ข่าวสารอะไร แต่เขาเดินทางมาเยี่ยม มาซื้อของ มาฝากเงิน เราไม่สบาย เขาก็เป็นห่วง เหมือนครอบครัวติดคุกไปกับเราด้วย แต่วันนี้เหมือนเราได้ปลดล็อก ได้หลุดพ้นกับสิ่งที่ต่อสู้มายาวนาน เมื่อเช้าที่ร้องไห้ เพราะตลอด 2 ปี 8 เดือนที่ผมอยู่ที่นี่ผมไม่เคยร้องไห้เลย เพราะรู้ว่าต้องสู้ให้ถึงที่สุด จนสุดท้ายมันตื้นตันอยู่ข้างใน คงจะไม่เกินไปถ้าจะบอกว่าวันนี้เป็นวันที่ผมรอคอยมาตลอด และเป็นวันที่ผมดีใจที่สุดในชีวิต ด้าน คุณแม่สุพรเพ็ญ กล่าวด้วยความตื้นตันว่า ดีใจจนพูดไม่ออก ตอนได้ยินศาลตัดสินหัวใจจะวาย ลืมไปหมดทุกอย่าง ลืมแม้กระทั่งว่าวันนี้ยังไม่ได้กินข้าว ดีใจที่ลูกได้ออกมาแล้ว เพราะรอคอยวันนี้มานาน.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน

เข้าชม 1,077 ครั้ง


ดูข่าวเพิ่มเติม