ขึ้นแท่นเป็นคู่แม่ลูกสุดแซ่บขวัญใจโซเชียลไปแล้ว สำหรับ “คุณแม่ลี ศริญญา สิทธาไชย” และ นางร้ายสุดแซ่บ “แก้มบุ๋ม ปรียาดา” ที่ล่าสุดควงคู่กันมาเปิดใจถึงเรื่องราวในอดีตที่ทำให้เสียน้ำตา เพราะถูกแม่ควบคุมชีวิตนาน 18 ปีจนไม่เป็นตัวเอง ไม่กล้าพูดเพราะกลัวแม่อาย พร้อมอัปเดตเรื่องหัวใจกับแฟนหนุ่ม “พีท กันตพร”
โดย “แก้มบุ๋ม” เผยว่า “เราเป็นคนเครียดง่าย เอาความเครียดออกจากชีวิตตัวเองยากมาก เลยพยายามทำทุกอย่างให้มันสบาย เพราะไม่อยากเอาความเครียดเข้าชีวิตเลยจริง ๆ ข้างนอกดูสนุกแต่บางทีเราเป็นคนที่ซีเรียส ค่อนข้างเซนซิทีฟในบางเรื่อง อย่างเช่นแม่พ่อ ตอนเด็ก ๆ เราเป็นคนที่ไม่กล้าพูดว่าฉันต้องการแบบนี้ แต่เดี๋ยวนี้เหรอต่อปากต่อคำ (หัวเราะ) ถามว่ามีเรื่องต้องเสียน้ำตาไหม เยอะ ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเอาปัญหาไปให้คนในบ้านได้รับรู้ว่าเรารู้สึกไม่โอเค มีความอึดอัดบ้างในสิ่งที่เราโดนตั้งกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในชีวิต หนูเป็นคนที่ใส่รองเท้าส้นสูงไปกองถ่ายทุกวัน เพราะแม่บอกว่าต้องดูดีตลอดเวลา คือมันอึดอัดแม้กระทั่งการแต่งตัว เราไม่สามารถแต่งตัวเป็นตัวเองได้เลย แม่ก็จะบอกว่าจะแต่งตัวให้วัยรุ่นชอบหรือให้ผู้ใหญ่ชอบ ทำไมแค่ใส่เสื้อผ้ามันผิดอะไร ผมก็ตัดไม่ได้ต้องไว้ผมยาวตรงเท่ากันทุกเส้น มันเป็นความอึดอัดที่ว่าทำไมเราไม่ได้เป็นตัวตน ร้องไห้บ่อย แต่สุดท้ายหนูก็ทำตามในสิ่งที่เขาอยากให้ทำ คือเขาขอไว้ว่าชีวิตขอเป็นของแม่จนถึงเราเรียนจบ หลังจากนั้นบุ๋มจะทำอะไรทำ แม่จะไม่ว่าอะไรบุ๋มเลย แล้วเขาก็ทำแบบนั้นจริง”
“สำหรับความรักของบุ๋มกับพี่พีท ตอนนี้ก็ดีค่ะ เรียกว่าเป็นความรักที่พอดี ไม่รู้สึกว่าเป็นภาระของกันและกัน รู้สึกว่ามาสนับสนุนกัน คบกันมาจะเข้าปีที่ 4 แล้วค่ะ แพลนแต่งมีไหม มีค่ะ แต่หนูบอกว่าให้เขาตัดสินใจเลย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม เพราะรู้สึกว่าหนูชิล ๆ แล้วแต่เลย ถามว่าอยากมีหลานให้แม่ก็อาจจะ หนูฝากไข่เอาไว้ค่ะ หนูก็เลยไม่รีบว่าจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ เพราะว่ามีหลานก็เลยรู้สึกว่าเฉย ๆ ส่วนที่หลายคยมองว่าเขาเปย์หนูหนัก หนูมองว่าเขาคงอยากให้เรามั้ง อยู่มาจนอายุ 30 Patek คือนาฬิกาอะไรหนูยังไม่รู้เรื่องเลย คือเราเป็นคนที่ไม่ติดแบรนด์เนม อาจจะมีบ้างที่เอามาเพื่อไปออกงาน ไปเข้าสังคม แต่ว่าเป็นคนไม่ติดว่าต้องใช้ของแบรนด์เนม แต่ว่าเวลาไปไหนมาไหนกับเขามีซื้อให้ ครั้งแรกที่ซื้อให้ก็คือซื้อนาฬิกา Patek ให้แล้ว ในครั้งแรกที่ขอเป็นแฟน คนก็เลยมองว่าเขาเปย์หรือเปล่า แต่จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้เปย์แค่สิ่งของ แต่เขาเปย์ความรู้ของเขาให้เราด้วย เช่น ให้ข้อมูลให้คำปรึกษาในการใช้ชีวิตหรือว่าวางแผนในการทำงานอะไร เขาก็มีความช่วยเหลือส่วนหนึ่งด้วย”
ด้าน “แม่ลี” เล่าต่อว่า “ตอนเด็กแก้มบุ๋มเป็นคนนิ่ง ๆ เก็บความรู้สึกทุกอย่างหมด ทำให้คนไม่รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ แต่เรารู้ มันเป็นอะไรที่ทำแล้วถึงเราจะเหนื่อยแต่บั้นปลายชีวิตนั่นคือสิ่งที่มันคืออาชีพของเขา ทุกอย่างเราจะจัดขั้นตอนให้เขา แต่เขาอาจจะไม่พอใจ แต่ครั้งหนึ่งเมื่อถึงเวลานี้เขาจะรู้เลย เมื่อก่อนแคสโฆษณา 100 ครั้ง “แก้มบุ๋ม” ไม่ได้เลยสักอัน แต่เราคิดว่าวันหนึ่งต้องเป็นของเธอนะนางร้ายป้ายแดงของแม่ แล้ววันหนึ่งก็ดีใจที่ทำสำเร็จในส่วนหนึ่ง ไม่ได้คิดว่าคุณต้องเป็นที่ 1 แต่ทำยังไงก็ได้เล่นเรื่องไหนก็ได้ให้คนรู้จักคุณก็พอแล้ว หน้าที่ของคุณต้องรับผิดชอบให้ดี แม่สนับสนุนเต็มที่ ถ้าเดินแบบเองได้ก็ทำ (หัวเราะ) ลูกก็จะแซวว่า ถ้าหายใจแทนได้ก็คงทำ ถามว่ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับลูกสาวที่เราฝังใจแล้วไม่มีวันลืมบ้างไหม เรื่องนางงามค่ะ จนกลายเป็นคนที่แบบต้องเอาให้ได้ นางจบ ม.6 เราก็คิดว่าไม่ต้องไปไกลให้อิมพอร์ตไปเรียนสิงค์โปร์ เราก็คิดในใจว่าวันหนึ่งนางจบจากสิงคโปร์ 4 ปี เราก็จะเอานางเข้าไปประกวดก็จะกลายเป็นสิ่งที่โอเคมากมาย แล้วเสร็จอยู่ที่นั่น 4 วันทุกอย่างเรียบร้อยหมด นางก็บอกว่า แม่หนูเป็นตุ๊กตาแม่มา 18 ปี แม่รู้ไหมความฝันของหนูคืออยากเรียน ม.กรุงเทพ หนูอยากใส่ชุดมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เอ้า! แล้วทำไมไม่บอกแม่ล่ะ แม่รู้ไหมแม่คุยกับคนไว้เยอะหนูกลัวแม่อาย ก็นอนร้องไห้ ก็บอกว่าบุ๋มเรากลับบ้านเรานะ แต่กลับแล้วต้องเชื่อแม่ทุกอย่าง ให้ประกวดอะไรต้องประกวดนะ แล้วแม่ไม่อายคนเหรอ ก็บอกไม่อายหรอกทำไงได้ล่ะ กลับก็กลับ อายก็ไม่เป็นไร“.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน