หลังดราม่าสนั่นวงการบันเทิง เมื่อ “ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด” เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ปล่อยประเด็นดารารุ่นลายครามตบดาราน้องใหม่ กลางห้างที่เกาหลี หลังชวนไปกินปูแต่อีกฝ่ายไม่ไป ต่อมาออกมาเปิดคลิปภาพขณะเกิดเหตุ ซึ่งดาราน้องใหม่ได้ไปแจ้งความที่เกาหลีไว้เรียบร้อยแล้ว พบว่าดารารุ่นลายครามคือ “ม้า อรนภา” นั่นเอง
ล่าสุดวันนี้(30 พ.ย. 2565) “ม้า อรนภา” พร้อมเปิดใจครั้งแรกถึงเหตุการณ์ที่เกาหลี ว่า “ขอโทษ เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เสียใจมาก ๆ ที่เกิดขึ้น ยอมที่จะรับผิดตรงนี้แน่นอน แต่เราขอโทษน้องเขาไปแล้ว ปรับความเข้าใจทั้งหมดทุกอย่าง จนน้องเข้าใจเรา เราก็เข้าใจด้วยเช่นกัน แต่ไมทราบว่าหลังจากนั้นน้องมีบางอย่างคาใจ เลยทำให้ไปปรึกษาทนายหลาย ๆ คน หลังเกิดเรื่อง ต้องบอกว่า ยังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอีกหลายวันมาก ๆ จนกระทั่ง วันนึงมีการนำเสนอเรื่องราวนี้ขึ้นมา หลังจากนั้นเราพยายามติดต่อน้องทันที แต่ไม่สารามาถติดต่อได้ จนเราต้องติดต่อกับ ผจก.คนเก่าเขา พอเราพูดคุยก็ตกใจกับการนำเสนอข่าวมาก อันที่จริง น้องไม่กล้าที่มาเจอหน้าพี่จากการที่มีข่าวเกิดขึ้น แต่เราได้พูดคุยกับผู้จัดการน้อง เมื่อกลับไปถึงเมืองไทยจะพูดคุยผ่านสื่อพร้อมกัน
“ขอโทษพ่อแม่เขา ขอโทษกับสิ่งที่เราทำผิด ทำให้ทุกคนผิดหวังในตัวเรา แต่อย่างหนึ่งเราอยากให้รับฟังเราจากปากทั้งสองคน อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ ว่าอะไรที่เกิดขึ้น แต่สุดท้ายเรายอมรับผลที่เกิดขึ้นตามมาในตัวเรา นี้คือสิ่งที่เราเขียนไว้ว่าจะนำไปโพสต์แต่ไม่ได้โพสต์ เพราะคิดว่าทุกอย่างควรเงียบไว้ก่อน แต่ในขณะที่มีกระแสมากมาย ไม่รู้จะตอบโต้ไปทำไป เราทำมาร์เก็ตติ้งให้รพ.ศัลยกรรมเกาหลีมานานมาก ๆ ใครเห็นก็อยากให้เราแนะนำ ไปด้วยกัน เวลาเราทำอะไร คือต้องทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ ให้คนที่ได้รับมีความพึงพอใจอย่างมากที่สุด ทุกครั้งเวลาเราไป เราจะไม่อยู่นิ่ง จะกินที่ไหน ไปดูอะไรที่เกาหลีใต้ จนเพื่อน ๆ ขอตามไปด้วยเวลามีเคสไป เพื่อนก็สนุกทุกครั้ง ฉะนั้นเวลาเรามีคนต้องดูแล เราจะทำแบบนี้ทุกครั้ง นี้เป็นเคสแรกหลังโคสวิด เรารู้จักผู้จัดการ พอน้องติดต่อมา เราก็จัดการติดต่อทางเกาหลีให้เรียบร้อยทุกอย่าง เราต้องใช้เวลาในการติดต่อ เขาบอกอยากไปเที่ยวก่อน 2 วัน ก่อนไปทำ ให้พี่ช่วยพาไปเที่ยวด้วยนะ เราบอกไม่มีปัญหา เพราะเราต้องดูแลอย่างครบถ้วนอยู่แล้ว ตั้งแต่ก่อนทำ ระหว่างทำ และหลังทำ ดูแลสุด ๆ เพื่อให้เกิดความประทับใจ ไม่ให้เสียชื่อเสียงเรา แต่ทุกครั้งเวลาทำอะไร เราต้องถามผู้ร่วมทางด้วยตลอดเวลา ไปตรงนี้ไหม ชอบตรงนี้ไหม เราต้องถาม ซึ่งเขารู้หมดแล้วว่าต้องไปไหน
พอช่วงจะไปทานอาหารค่ำใกล้ ๆ รร. ตอนทานอาหารก็ถามอยากไปเที่ยวไหน อยากทำอะไร ไปไหว้พระ แล้วไปกินอะไรกันก่อนไหม ค่อยไปโซลทาวเวอร์ แล้วค่อยจะไปกินปู เพราะเราเลือกสรรแล้วว่าร้านอร่อยดี ซึ่งเขาตอบเอาครับ เขาชอบกินปู ก่อนออกจากรร. เราเลยไปกินก่อนเขาผ่าตัด พอหลังไหว้พระเสร็จ ก็ไปโซลทาวเวอร์ ขณะที่นั่งดู น้องเขาบอกเดี่ยวเราแยกกันไหม เราก็ถามไม่ไปเมียงดงแล้วเหรอ เขาบอกเกรงใจเรา จะทำนู้นนี้นั้น เราบอกไม่ต้องเกรงใจ เดี๋ยวเรามีที่อยู่ของเรา เขาก็ไปไหนของเขาปกติ จนกระทั่งพอนาน เราคิดว่าท่าทางเขาจะหิว เลยสั่งวาฟเฟิลเผื่อไว้ให้
“จนเขากลับมาจากชอปปิง ถือถุง4-5 ถุงใหญ่ เราก็ถามเขาว่าไหวมั้ยเพราะเห็นถือของเยอะ พอกลางเมียงดงเขาถ่ายรูปให้ ของเยอะเราก็ถามเขารอบ 2 รอบว่าถือไหวมั้ย เขาบอกไหว จนไปถึงร้านรองเท้า เราซื้อของ พอดูเสร็จจ่ายเงินเรียบร้อย ก็ต้องไปกินอาหารกัน พอลุกขึ้นมายืน เขาบอกว่า ไม่ไปกินปูแล้วนะ เราก็งงเลยพุดไปว่า จะบ้าเหรอ พร้อมกับตีไป คือเรามือไว เขาก็มีปฎิกิริยาทันที เขาบอกตบหน้าผมเลยเหรอ เราก็นึกขึ้นได้ขอโทษเขา ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ ที่ทำไปเพราะตกใจ ว่าอยู่ ๆ ทำไมเปลี่ยนแพลน แต่ใช้คำว่าแตะ ไม่ใช่ตบ”
“เขาบอกทำอย่างนี้ไม่ได้ ผมโกรธมาก ๆ เราก็เสียใจมาก เดินตามเขาห่าง ๆ รอให้เขาอารมณ์เย็น เลยค่อย ๆ เดินเข้าไปจับมือเขาใหม่ บอกขอโทษนะ ขอโทษจริง ๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือตกใจ เพราะถามมาตลอดแล้ว และไม่มีการปฎิเสธใด ๆ และอยู่ ๆ มาบอกอย่างนี้ไม่ได้ ซึ่งเวลาเราจะอยู่ร่วมกันกับใคร เราต้องพูด ชอบไม่ชอบ ไปไม่ไป คือไม่มีอะไรบ่งบอกว่าจะไม่ไป เราพูดขอโทษจริง ๆ เขาพยายามใจเย็น บอกได้ครับ ผมเข้าใจ เรื่องนี้ผมจะไม่บอกใคร แม้กระทั่งพี่ธง ผู้จัดการเขา ผมก็จะไม่บอก เราก็แค่ยืนฟัง คุยสักพัก เข้าใจ ประนีประนอมทุกอย่าง และเขาบอก จริง ๆ ผมเคารพแม่มากนะ เข้ามากอดเรา นึกว่าทุกอย่างจบ เขาก็บอกไปกินปูกันครับ เราก็บอกไปก็ไป”
ขณะที่นั่งรถไปร้านปู เข้าไปกินปูปกติ พออาหารมาน้องก็ถ่ายรูปปกติ เขาบอกว่าอยากจะกลับไปดูละคร กลับไปรร. บอกเจอกันวันรุ่งขึ้น พอไปรพ. ทุกอย่างปกติ พอตกเย็นเรามารับ เขาบอกอยากนอน แล้วเย็น ๆ ไปหาอะไรกิน พอถึงเวลาก็โทรไปเช็กปกติ เตือนเรื่องกินยา พอเช้าอีกวันเราโทรไปถามว่ากินอะไรหรือยัง ด้วยความเป็นห่วงเลยไปเคาะห้อง พอเข้าไปก็พุดคุยปกติ พอคุยเสร็จแนะนำให้ไปเดินเพื่อลดบวมแผลผ่าตัด เราจะถามทั้งเช้าเย็น โทรตลอดจนกระทั่งวันที่ 29 ล้างแผลเรานัดกันไปล้างแผล เขาบอกเจอกันวันนั้น
หลังแตะหน้าน้องเขาไป ก็ถามผู้จัดการเขาว่าน้องคนนี้เป็นยังไง ผู้จัดการบอกว่าเขาไม่ได้ดูแลแล้ว วันนั้นเราไปทำหน้า อยู่ ๆ มีข่าวส่งมาให้ว่า ทนายเอาไปโพสต์ เราก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น ไหนบอกว่าจะไม่บอกใคร แม้แต่ผู้จัดการก็จะไม่บอก และในไอจีและเฟซบุ๊กรุมด่าเรา แต่เราชินเพราะโดนมาตลอดชีวิต จนมีคลิปออกมา เราก็ยังลงภาพของเราปกติ
ส่วนที่น้องไปแจ้งความเกาหลี เราก็ไม่มีผลกระทบอะไรทั้งสิ้น ไม่นั้นเราจะเดินทางกลับมาได้ยังไง เราเดาที่มีภาพกับตำรวจ เขาน่าจะได้รับคำแนะนำจากทนายว่าให้ทำแบบนี้ คงไปแจ้งความเพื่อมาขอวงจรปิดเอาไปเป็นหลักฐาน และตำรวจคงถามว่าคู่กรณีคือใคร อันนี้เราคาดเดานะ แต่เขาไม่มี เราอยู่มา 4-5 วันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งพอเรารู้เรื่องทุกอย่าง เราก็โทรหาเขาทันที โทรติดแต่ไม่รับ เลยพิมพ์ไปว่า ทำไมต้องทำขนาดนี้ โทรไป 2 ครั้ง แล้วลบข้อความออกไป หลังจากนั้นก็สงสัยว่าน้องเขายังไง เพราะมีข่าวว่าน้องย้ายรร. หนีไปแล้วเพราะกลัวเรามาก เราเลยไปที่ฟร้อนต์ทันที เขาบอกไม่มีอะไร แขกก็ไม่มีอะไร คือจริง ๆ จะเดินออกเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีการเช็กเอาท์ใด ๆ พอวันรุ่งขึ้นแม่บ้านมาทำความสะอาด เลยเข้าใจว่าน้องไปแล้ว ส่วนย้ายหนีมั้ยอันนี้ไม่ทราบ เราติดต่อน้องไม่ได้ โทรเหมือนติดแต่ไม่มีใครรับ จนวันที่ 29 ต้องไปเจอตัวเพราะเขาต้องตัดไหม แต่ผู้จัดการบอกไม่ต้องไปเจอก็ได้ เราก็ไปรอก่อนเวลา รู้กระทั่งเขาย้ายวันกลับ
พอไปเจอตัวกันก็พูดคุยธรรมดา เขาบอกเราคงไม่เครียดเหรอ เราก็ฟังเฉย ๆ แต่ผมเครียดมากเลย ไม่คิดว่าจะใหญ่โตขนาดนี้ เขาเพียงแต่คิดว่าจะสั่งสอนเราเท่านั้น ว่าไม่ควรจะไปตบหน้าใคร เราก็ได้รับสิทธิ์นั้นทุกสิ่งทุกอย่าง หลังจากนั้นเราไม่ได้คุยกับพ่อแม่น้องเขา แต่ผู้จัดการบอกว่าพ่อแม่น้องเข้าใจ ไว้ไปคุยกันในรายการหนึ่งเพื่อเคลียร์ใจ
เรื่องนี้ดิฉันกับน้องนึกว่าจะจบตั้งแต่ที่ถนนตรงเมียงดงแล้ว ที่ขอโทษสุดฤทธิ์ จนเขาเข้ามากอดเรา เราคิดว่าเรื่องไม่น่าจะค้างที่เกาหลีอะไร เพราะเราไม่มีเสียค่าปรับอะไร คือเรื่องยังไม่เป็นคดีความขึ้นมา เขาแค่ไปขอคลิปเฉย ๆ ถามว่าเรากับน้องดีกันยัง เราดีเสมอ ส่วนน้องเราไม่รู้ เรื่องที่เราออกจากงานมามันใหญ่กว่าเรื่องนี้ เราพูดไม่ได้จะฟ้องไม่ฟ้อง เรื่องตบหรือแตะคือเราแค่เหมือนสั่งสอนเด็กเฉย ๆ ส่วนถ้าทนายไม่ยอมอันนี้ก็ไม่รู้ จริง ๆ เรามีเรื่องกันแค่สองคน และเราประนีประนอมพูดคุยกันไปแล้ว แต่เราไม่รู้หลังจากนั้นเขายังคาใจอะไรถึงไปปรึกษาทนายจนเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เราไม่รู้จะพูดอะไรกับทนาย เท่าที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ตั้งแต่ออกจากงานมา ทุกคนโจมตีแต่เราก็เงียบเฉยตลอด ถ้าเบื่อก็คงเงียบไปเอง หลังจากนี้จะเจอกันกับน้องในรายการคุยแซ่บโชว์เพื่อเคลียร์ทุกอย่างแค่นั้น.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน