จากกรณีนักแสดงสาวตาคม “พิ้งกี้-สาวิกา” และคุณแม่ “อ้อย สรินยา” รวมถึงพี่ชาย พร้อมจำเลยรายอื่น ๆ ทั้งในวงการบันเทิง แวดวงไฮโซ รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ รวม 19 คน ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุกฐานกระความผิด โดยทุจริต โดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฉ้อโกง ในคดีแชร์ลูกโซ่ Forex-3D จนทำให้มีผู้เสียหาย 9,824ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2,487 ล้านบาท โดยคัดค้านการประกันตัวเพื่อขอปล่อยชั่วคราว เนื่องจากกลัวผู้ต้องขังจะหลบหนีเพราะอัตราโทษสูงนั้น พิ้งกี้-แม่-พี่ชาย รวมถึงผู้ต้องหารายอื่น ๆ ถูกนำตัวไปคุมขังในทัณฑสถาน ซึ่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผยกับทีมข่าวไนน์เอ็นเตอร์เทนว่า “พิ้งกี้” สามารถปรับตัวใช้ชีวิตในเรือนจำได้
ล่าสุดได้เจอตัว “แพท พาวเวอร์แพท” ซึ่งเคยหลงผิดและต้องรับโทษในเรือนจำนานกว่า 16 ปี ก่อนได้รับอิสรภาพและกลับคืนสู่วงการบันเทิงอีกครั้ง เจ้าตัวให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรับตัวและชีวิตในเรือนจำให้ฟัง โดย “แพท” เผยว่า “ผมว่าจุดเริ่มต้นอาจจะต้องอยู่บนความจริงก่อน ว่า ณ วันนี้หรือในเวลาอันใกล้นี้เราจะต้องอยู่ในเรือนจำแน่ ๆ การที่เราจะต้องอยู่แน่ ๆ เราจะทำยังไงให้อยู่แล้วมีความสุข ให้อยู่กับคนอื่นให้ได้ อันดับแรกก็ต้องปรับตัวกับเรื่องการใช้ชีวิต เรื่องกฎระเบียบต่าง ๆ ความเป็นอยู่แน่นอนมันลำบากคงจะไม่เหมือนที่บ้าน แต่เราต้องอยู่แล้ว ก็ต้องสร้างความเข้มแข็งให้ใจเราให้ได้ และพยายามมองหาสิ่งที่จะมาชดเชยเวลาที่อาจจะปล่อยไป มันทำให้เราเครียดได้ เช่น อ่านหนังสือ วาดรูป เรียน เล่นกีฬา หรือหากิจกรรมอะไรที่เขามีให้ทำในเรือนจำ ที่จะทำให้เราใช้เวลาได้อย่างมีประโยชน์ แล้ววันหนึ่งมันจะผ่านไปได้ไว พอเป้าของเราก็จะเปลี่ยนไป ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องข้างนอก มองถึงสิ่งที่เราอยู่ เรื่องที่เราอยู่ตรงหน้า เรื่องอดีต อนาคตอะไรตัดไปก่อน มองแค่วันนี้ พรุ่งนี้ แบบนี้จะช่วยได้มาก ส่วนการปรับตัวถามว่ายากแค่ไหน อันนี้อยู่ที่บุคคล แต่สำหรับผมเวลามันจะทำให้เราค่อย ๆ ซึมซับและเคยชินไปเอง คิดว่าคงไม่นาน และเดี๋ยวนี้ราชทัณฑ์ก็ไม่ได้โหดร้ายนะ เขาก็ปกครองกันแบบพี่แบบน้อง การเป็นอยู่ เขาก็พยายามให้เราอยู่ในสภาพที่เหมาะสมตาม รวมถึงดูแลสิทธิมนุษยชน เรื่องอาหารการกินที่พักหรือความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐาน ที่เขาจะจัดให้กับทางผู้ต้องขังอยู่แล้ว ผมว่าใช้เวลาแป๊บนึงก็น่าจะปรับตัวได้”
ระหว่างที่รอพิจารณาคดีอยู่ในเรือนจำ เราจะโดนจำกัดเรื่องการเสพสื่อ เราต้องเข้าใจตรงนี้ ในเรื่องความมั่นคง ความปลอดภัยของทางเรือนจำเขา แต่การติดต่อกับญาติหรือคนภายใน เขาสามารถติดต่อได้ ทางเรือนจำก็จะมีจดหมาย มีอีเมล์ มีการพบญาติผ่านไลน์ เหมือนกับวิดีโอคอล ที่อยู่ในขอบเขตที่ทางราชทัณฑ์เขากำหนดให้ ไม่ได้ตัดขาดโลกภายนอกไปซะทีเดียว ยังมีหลาย ๆ ทางที่ราชทัณฑ์ทำอยู่ เราไม่สามารถเช็กข่าวตัวเองได้เลย แต่สามารถติดต่อคนภายนอกได้ ญาติสามารถมาเยี่ยมได้ อันนั้นก็สอบถามได้ แต่ถ้ามานั่งดูข่าว คือไม่มีข่าวให้ดู ไม่มีเลย หนังสือพิมพ์ก็ไม่มี ไม่มีสื่อบันเทิง ถ้าเป็นข่าวที่เกี่ยวกับความล่อแหลมหน่อย เกี่ยวกับเรื่องคดี เรื่องความรุนแรง คือไม่มีเลย แต่ถ้าจะติดต่อทนายความได้อยู่แล้ว มันเป็นสิทธิที่เขากำหนดให้ติดต่อทนายความได้ในระหว่างที่เราอยู่ในระหว่างการดำเนินคดี ยืนยันว่าชีวิตความเป็นอยู่ข้างในเราไม่ได้ลำบากขนาดนั้น แค่ปรับตัวให้ได้ แต่มันอาจจะไม่ได้สุขสบายเหมือนอยู่บ้านแน่ต้องอยู่กับคนหมู่มาก โดยความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐาน ราชทัณฑ์ยุคนี้เขาจัดให้เต็มกำลังแล้ว ถามว่าถ้าออกมาแล้วสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ไหม อันนี้มันอยู่ที่ตัวบุคคล คือการเข้าไปอยู่เรือนจำไม่ได้หมายความว่าชีวิตมันจบสิ้นแล้ว มันเป็นแค่ช่วงชีวิตนึงของคน ๆ นึงเท่านั้นเอง ถ้าเรามองให้มันเป็นเรื่องของอาจจะเป็นความโชคร้ายอะไรก็แล้วแต่ แต่ในความโชคร้ายหรือทุกอย่างในโลกนี้มันมีสองด้าน เราก็ต้องมองในสิ่งที่ดี เราอาจจะมีเวลาได้ทบทวนตัวเองในสิ่งที่ทำผิดพลาด เราอาจจะได้มีเวลาพูดคุยกับพ่อแม่เราบ่อยขึ้น มีโอกาสได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ฝึกเกี่ยวกับเรื่องจิตสมาธิ เรื่องศาสนา ซึมซับหาหนทางดีๆ ใหม่ๆ ให้กับตัวเองก็ได้ มันมีสิ่งดีๆ มากมายอยู่ในนั้น แต่ไม่ได้อยากให้ทุกคนเข้าไปนะ แต่ในเมื่อต้องเข้าไปอยู่แล้ว ผมว่าให้มองในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเราดีกว่า เพราะทุกสิ่งทุกอย่างทุกสถานที่มันมีทั้งสองด้านครับ”.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน