“ใบเตย-ดีเจแมน” เปิดใจเคลียร์ประเด็นปมความทุกข์ในใจที่มักทำอะไรก็ผิด ในรายการดัง (วู้ดดี้โชว์ )โดยนักร้องสาวสุดแซ่บ “ใบเตย อาร์สยาม” ควงคู่มาพร้อมกับคุณสามี “ดีเจแมน พัฒนพล” และลูกสาวสุดที่รัก “น้องเวทย์มน” เปิดบ้านหรูพาทัวร์ทุกซอกมุมแบบไม่มีกั๊ก หลังเปลี่ยนบทบาทเป็นพ่อและแม่อย่างเต็มตัว แถมคุณพ่อแมนหวงลูกสาวคนแรกแบบสุดๆ พร้อมเคลียร์ประเด็นข่าวลือว่ากำลังตั้งท้องลูกคนที่ 2 จริงหรือไม่? และเผยปมความทุกข์ในใจที่มักทำอะไรก็ผิด ซึ่งครอบครัวสุดน่ารักเปิดใจแบบหมดเปลือกกับทุกประเด็นว่า
.
ตอนนี้เป็นอย่างไรกันบ้างทั้งคู่?
ใบเตย : ตอนนี้เลี้ยงลูกวนไปค่ะ
ดีเจแมน : 2 ปีแล้วครับพี่วู้ดดี้ เหงาๆ ว่างๆ ครับผม
ตอนนี้น้องเวทย์มนหน้าเหมือนใคร ?
ดีเจแมน : หลายคนก็บอกว่าเหมือนผมบ้าง เหมือนคุณย่า เหมือนใบเตย เหมือนน้องลุกซ์
ใบเตย : คือคนจะบอกว่าเหมือนลุกซ์เยอะสุด 1 ปีผ่านไปก็ยังเถียงกันอยู่ว่าเหมือนใคร ได้พี่แมนหมดเลยตั้งแต่ปาก ผม เป็นคนผมเยอะ ไปทางพ่อเยอะ
ได้ข่าวว่าคุณพ่อหวงลูกสาวหนักมากใช่ไหมครับ ?
ใบเตย : หวงที่สุด หวงมากๆ ทุกระเบียบนิ้ว อย่างเมื่อกี้ลูกพึ่งไปฉีดวัคซีนมา ก็จะบอกว่าเขาจะเจ็บไหม เขาจะครั่นเนื้อครั่นตัวไหม ทั้งๆ ที่ไม่เป็นอะไรเลยค่ะ ตัวแม่เองเราเป็นคนเลี้ยงมา จะรู้สึกว่าเราจะไม่หวงขนาดแบบไข่ในหิน เราเห็นเขาเล่นหรือทำอะไรจะปล่อย ให้เขาได้เรียนรู้ได้เจอกับตัวเอง ได้สัมผัสกับทุกอย่างด้วยตัวเอง เพราะว่าตอนนี้ลูกอยู่บ้านตลอดแทบจะไม่ได้ออกไปเห็นอะไรต่างๆ รอบตัวเหมือนที่ผ่านมา ช่วงนี้จึงขาดการพัฒนาไปครึ่งหนึ่งเลยเพราะไม่ได้ออกไปเรียนรู้โลกกว้าง เพราะฉะนั้นจึงอยากให้เขาได้เรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง
ดีเจแมน : คือหลายอย่างครับ ช่วงนี้ด้วยมันมีทั้งโรคภัยและความปลอดภัย แล้วเด็กเขายังพูดไม่ได้ เราที่ความห่วงไปหมดว่าถ้าเกิดเขาติดขึ้นมาหรือเป็นอะไรมันจะเรื่องใหญ่มาก ตอนนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้วเหมือนในหนังจึงน่ากลัวไปหมด เราก็กลัว ค่อนข้างจะแพนิค
ใบเตยภูมิใจไหมที่สามีเปลี่ยนไปเยอะมากตั้งแต่มีลูก?
ใบเตย : ก็ดีใจค่ะ ความจริงอย่างพี่แมนเขาก็เสมอต้นเสมอปลายตลอดอยู่แล้ว แต่ว่าพอมีลูกก็เหมือนยิ่งติดลูกหนักมาก กลายเป็นว่าติดบ้านมากกว่าเดิม
ตั้งแต่มีน้องเวทย์มนเข้ามาในชีวิตตัดสินใจอำลาวงการเพื่อไปเป็นคุณแม่เต็มตัว?
ใบเตย : ก็ไม่เชิงขนาดนั้น พอหลังแต่งงานไม่นึกว่าจะมีน้องได้เร็วขนาดนี้ พอมีเร็วก็เลยรู้สึกว่าเราจะเฟดตัวออกมาประมาณ 1 ปีถึง 2 ปี แล้วประจวบกับมีโควิดพอดี ก็เลยเหมือนว่าได้หยุดทำงาน หยุดคอนเสิร์ต เกี่ยวกับธุรกิจเพลงทุกอย่าง ตอนนี้ก็เกือบ 2 ปีแล้วที่ไม่ได้ร้องเพลงอีกเลย
ดูมีความออร่าเพิ่มมากขึ้นคุณพ่อกับคุณแม่กำลังจะมีข่าวดีใช่ไหม?
ดีเจแมน : คุณพ่อน่ะอยากมีนะพี่วู้ดดี้ ตั้งใจว่าเราอยากมีลูกชายสักคน อยากมีมากแต่ว่าก็ต้องแล้วแต่ภรรยาด้วยครับ
ใบเตย : ยังไม่มีค่ะพี่วู้ดดี้ เกือบจะมีแล้วแต่ค่ายก็โทรมาว่ามีงานละครที่รับไว้ให้ บวกกับเพลงใหม่ในเดือนหน้าที่กำลังจะถ่ายเอ็มวี ซึ่งก็เลยต้องหยุดชะงัก ต้องทำงานตรงนี้ก่อน ปีหน้าใบเตยก็จะหมดสัญญาแล้ว เราต้องเต็มที่กับงานที่บริษัทรับไว้ก่อน
แปลว่าถ้าเกิดว่าทำงานเสร็จแล้วหรือว่าเคลียร์คิวได้ปีหน้าก็จะมีน้องคนใหม่ เล่าหน่อยสูตรมีลูกทำอย่างไรบ้าง ?
ดีเจแมน : สูตรมีลูกชายมันหลายอย่าง ห้ามปลดปล่อยก่อนล่วงหน้า ในเน็ตมีเยอะมากผมดูไปหมด แต่สุดท้ายแล้ววิทยาศาสตร์ช่วยได้เราก็เลือกไปเลยผู้ชาย จะได้ไม่ต้องซีเรียสเยอะ
ใบเตยและแมนเจอแรงปะทะไม่หยุด มีข่าวดราม่าทำอะไรก็กลายเป็นประเด็น เป็นอย่างไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ในช่วงที่ผ่านมา?
ดีเจแมน : สำหรับผมไม่ค่อยมีเยอะ เป็นห่วงภรรยา แต่ตอนนี้โลกมันเปลี่ยนไปสังคมเริ่มเห็นอะไรกันมากขึ้น เพราะฉะนั้นวันนี้ผมกับใบเตยได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่เราทำทั้งหมด ที่เราโดนว่ามามันไม่มีเรื่องไหนจริงเลย หรือว่าคนที่เข้ามาทำร้ายจิตใจเราไม่ว่าจะเป็นเรื่องตกใจมาแปลกๆ เยอะแยะมากมาย ซึ่งสุดท้ายแล้ววันนี้เราก็อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวกับคนที่เรารัก ผมก็จะเลือกมอง ไม่มานั่งมองคนที่เข้ามาในชีวิตที่ฉาบฉวยเท่าไหร่ กาลเวลามันเริ่มชัด บุญกรรมจะเป็นสิ่งที่คัดกรองคน คุณอย่าตัดสินคนจากภายนอกครับ
ใบเตย : ทุกอย่างมันเป็นพัฒนาการเติบโตตามช่วงวัย แต่ก่อนเราเป็นเด็กมาก เข้าวงการตั้งแต่ช่วงอายุ 18 หรือ 19 เราเริ่มจากการไม่รู้อะไรเลย แล้วทุกอย่างสิ่งที่ผิดพลาด เป็นสิ่งที่สอนใบเตยมาเรื่อยๆ อย่างเรื่องราวที่โดนดราม่า สำหรับใบเตยมันเป็นเรื่องที่ไม่จริง 50% เลย เป็นเรื่องจากคนอื่นทั้งหมดที่ไม่ได้มาจากตัวเราเอง ตัวเรารู้สึกว่าเรื่องเลวร้ายของดาราศิลปินก็คือ ยาเสพติด มือที่สาม หรือการแย่งสามีคือมันจะดูแย่มาก แต่สำหรับเราไม่มีเรื่องพวกนี้ที่สมควรจะโดนด่ามากๆ ของเรากลายเป็นเรื่องนุ่งสั้น เรื่องเป็นลูกทุ่งทำไมมาใส่ชุดว่ายน้ำอะไรแบบนี้ทั้งหมด
ซึ่งเราก็อยู่กับมันมาได้ เพราะเรารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ คนที่มาว่าเรามีจุดประสงค์ยังไงบ้าง ชีวิตใบเตยไม่เคยโดนคนด่าต่อหน้าเลย ส่วนใหญ่จะเป็นนักเลงคีย์บอร์ดหรือว่าในการคอมเมนต์ชาวเน็ตทั้งหมด เราเลยมองว่าตรงนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนสำหรับเราคือสิ่งที่อยู่ในโซเชียล เลยพิสูจน์มาด้วยชีวิตจริงของเรามาตลอด ต่อให้คนจะว่ายังไงแต่พอไปหน้างาน The show must go on เรามีงานทุกวันโดยที่ลูกค้าจ้างเพราะหน้าเวทีของใบเตยมันพิสูจน์ทุกอย่างมากกว่า การคอมเมนต์ใดๆ ในโซเชียล เราอยู่มาได้ด้วยความเข้าใจโลก ยิ่งพอมาแต่งงานมีลูกแล้ว กลายเป็นอะไรตรงนี้ค่อนข้างหายไปเยอะ ด้วยความที่เราหลุดในความเป็นนักร้องลูกทุ่งนุ่งสั้นพอมารับบทเป็นแม่มีลูกทุกอย่างค่อนข้างจะดีขึ้น ไม่ค่อยเจอการโจมตีแบบที่ผ่านมา สมัยยุคนั้นคนจะชอบพูดว่าเรายิ่งด่ายิ่งดัง โดนด่าอะไรก็แล้วแต่มีงานวันละ 7-8 งาน มีงานทุกวันจนทำให้ลืมการโดนด่าไปเลยเพราะว่าเราทำงานจนไม่มีเวลามานั่งอ่านคอมเมนต์ แต่ ณ วันนี้พอเราเห็นใครที่โดนดราม่า กลายเป็นว่ามีผลต่อคนรอบข้าง มีผลต่องาน เราเข้าใจเขามาก ในยุคเราโชคดีกว่า ณ วันนี้มากๆ เข้าใจว่าเป็นคนของประชาชนทุกอย่างไม่ว่าจะทำอะไร คือเราจะถูกโฟกัสเป็นอันดับแรก เพราะฉะนั้นก็เลยผ่านไปได้ด้วยครอบครัวเราเป็นคนเข้มแข็ง สุดท้ายแล้วครอบครัวเป็นกำลังสำคัญมากๆ ทั้งพ่อแม่ใบเตยและพ่อแม่พี่แมนทุกคนจะบอกว่าให้มองผ่านไปและปล่อยวางกับตรงนี้ เข้าใจโลกความกับความเป็นจริง.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน