หลังจากที่ได้การอภัยโทษ และออกจากการจองจำเมื่อวานนี้ (4 มกราคม 2564) อดีตนักร้องหนุ่มชื่อดัง “แพท พาวเวอร์แพท” หรือ “แพท วรยศ บุญทองนุ่ม” ที่ใช้ชีวิตนานเกือบ 17 ปี ในเรือนจำ ได้ออกมาเปิดใจผ่านรายการคุยแซ่บโชว์ โดยเล่าย้อนไปถึงวันที่ก้าวเข้าไปรู้จักกับยาเสพติด
“ตอนนั้นเด็ก ๆ เป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงพอสมควร ชอบเล่นดนตรี ก็มีไอดอลที่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ก็แยกแยะไม่ออก อยากใช้ชีวิตแบบเขา เรื่องความเกเร เรื่องยาเสพติด ตอนนั้นเราอายุยังน้อง แยกแยะไม่ออก และบางครั้งเหมือนไม่มีใครเข้าใจเรา คุยกับใครไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จะคุยกับใครเวลามีปัญหา ก็ใช้ยาเสพติดเป็นเพื่อน ก็ยิ่งถลำไปเรื่อย ๆ จนชีวิตพังไป
ถามว่าผมถลำลึกไปขนาดไหน ก็…ตอนนั้นเสพยาทุกวัน ทุกเวลาที่ลืมตาตื่นขึ้นมา แต่ก็ทำงานได้ปกติ ยังมีสติที่ดี ตอนนั้นก็มีเพื่อน ๆ และพี่ ครอบครัวพยายามดึง แต่เราไม่ฟัง เพราะเป็นคนหัวดื้อ และมีความคิดที่ไม่ค่อยถูกต้อง ไม่เชื่อฟัง ตอนนั้นพ่อแม่เตือน แต่เราไม่เชื่อ ไม่ฟัง”
จากนั้นก็ขยับจากผู้เสพ มาเป็นผู้ค้า จากที่ตนเสพยา จิตใจจะไม่เข้มแข็ง อ่อนไหว ถูกชักจูงง่าย ก็ถูกชักจูงไปในทางนั้น โดยที่ไม่ทันได้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับการขายทั้งสิ้น แต่ถูกชักจูงว่า เอามาฝากนะ ก็ใช้ไปเลย เดี๋ยวมาเอา ด้วยความที่ตนติดยา มีของเสพก็โอเค ตอนที่ตำรวจจับเพราะคนมาเอายา ตอนนั้นช็อกมาก ตกใจว่ามันเกิดขึ้นจริงเหรอ ฝันไปหรือเปล่า ตอนนั้นคิดว่าพังแล้ว ทุกอย่างจบ ก็คิดไม่ออกว่าจะยังไงต่อ
“สิ่งเสียดายที่สุดที่ถูกจับ คือทุกอย่าง ทั้งชื่อเสียง ชีวิต ครอบครัว เพราะมันจบไปหมดเลยวินาทีที่ถูกจับหน้าคุณพ่อคุณแม่ลอยมา ทุกอย่างที่ท่านเคยพูดสอน เรื่องการใช้ชีวิตที่เราไม่ฟังมันตรงและจริงทุกอย่าง”
ซึ่งตามกฎหมายต้องจำคุกตลอดชีวิต แต่ให้การเป็นประโยชน์ต่อศาลรับสารภาพก็ลดให้เหลือ 50 ปี ในตอนนั้นตนอายุ 23-24 ปี สิ่งที่เห็นตอนนั้นคือ แม่ร้องไห้ ซึ่งทำให้ตนรับไม่ได้ รู้สึกเหมือนตัวเองทำไมเป็นลูกที่เลวขนาดนี้ ทำให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นได้อย่างไร ในตอนนั้นพ่อแม่ไม่ได้ต่อว่าเลย เขาเงียบ ยิ่งทำให้รู้สึกผิดที่สุด ทำไมแย่ขนาดนี้
“ก้าวแรกที่เข้าไปในเรือนจำ มันค่อนข้างแตกต่างจากหนังโดยสิ้งเชิง ตอนแรกที่ผมเข้าไป ผมไปอยู่ที่บำบัดพิเศษกลาง สำหรับคดียาเสพติด เข้าไปตอนเย็น พอเข้าไปมันเงียบมาก มันไม่มีคนเลย 2 ข้างซ้ายขวาเป็นตึก ผมไม่รู้ว่าเวาที่ผมไปเป็นเวลาที่เก็บผู้ต้องขังแล้ว อยู่ชั้นบนก็จะมีตะแกรงมองลอดได้ ด้วยความที่เงียบผู้คุมพาเข้าไป เสียงตรวนที่ข้อเท้าก็ดัง คนก็มองลงมาซึ่งเขาคงจะทราบข่าวกันแล้ว ก็ร้องเฮ..รับทั้ง 2 ข้างทาง ผมตกใจมาก ว่ามันคืออะไร แล้วมันมืดไงตอนนั้น ผมไม่เข้าใจ แล้วก็ค่อยเรียนรู้ไปว่าเป็นตึกนอน มีช่องเล็ก ๆ ที่เขาจะมองเห็นด้านล่าง”
แพทเล่าถึงชีวิตในเรือนจำว่า “ตอนแรกเลยผมว่ามันเป็นเรื่องที่มีนักร้องนักดนตรีเข้ามาเรือนจำ น่าจะคึกคักขึ้นอะไรประมาณนี้ เขาคิดว่าน่าจะได้ความบันเทิงจากผม ซึ่งตอนนั้นผมไม่พร้อมให้ความบันเทิงกับใคร เราไม่รู้จะเจออะไรบ้าง ถามว่าปรับตัวนานไหม วันแรก ๆ ต้องสอบประวัติ ตรวจสุขภาพ ตัดผม อะไรต่าง ๆ ในแดนแรกรับสำหรับผู้ต้องขังใหม่ พอเสร็จธุระผู้คุมบอกว่าเดี๋ยวกลับไปร้องเพลงให้เพื่อนฟังหน่อยนะ เพื่อนรอเป็นร้อยแล้ว พอเราไปถึงเห็นคนนั่งรอเราเป็นชั่วโมง เราก็ร้อง เป็นแดนกิจกรรม ชุมชนบำบัดผู้ต้องขังที่ติดยาเสพติด วันแรกเลย น่าจะเป็นเพลงของวงสิบล้อ พอได้ร้องเพลงก็สบายใจ ความเกร็งมันหายไปเลย พอเขาเฮ ร้องตามเรา แสดงความรู้สึกที่มีความสุข มันไม่ได้น่ากลัวนะ ทุกคนเหมือนคนธรรมดา ไม่ได้เลวร้ายแบบในหนัง ตอนกลางคืนก็นอนปรับทุกข์กัน เป็นเรื่องปกติของคนข้างในอยู่แล้ว”
เมื่อถูกถามว่ากลัวไหมว่าสังคมจะไม่ให้อภัยกับความผิดพลาดที่ทำไว้ ซึ่งนักร้องหนุ่มเชื่อว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่มีความเมตตา แล้วก็ให้อภัย แล้วตนก็ตั้งใจจริงที่จะกลับตัวเป็นคนดีและใช้ชีวิตต่อไปเป็นการพิสูจน์ สร้างความดี สร้างประโยชน์ให้สังคม ถ้าทุกคนได้เห็นแล้วความคิดนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้
“เรื่องที่เกิดกับผม ไม่อยากให้เกิดกับครอบครัวใคร เกิดกับใคร ผมอยากให้ดูชีวิตผมเป็นบทเรียน เยาวชนควรจะเชื่อฟังครอบครัว เชื่อฟังพ่อแม่ เพราะบุคคลเหล่านั้นคือคนที่หวังดีและเป็นห่วงเราที่สุด ใครที่กำลังคิดจะทำสิ่งที่ไม่ดี ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด อยากจะให้เลิก มันไม่คุ้มค่ากัน ถ้าพลาดเข้าไปอยู่ข้างใน ชีวิตจบ ไม่มีเงินจำนวนใดที่จะมาชดเชยชีวิตที่สูญเสียไปในนั้นได้ (ไหว้) อยากขอโอกาสสังคม ผมตั้งใจแล้วว่า ผมจะต้องเป็นคนที่ดีกว่าเดิมให้ได้ ผมจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าผมเป็นคนดีกว่าเดิมแล้ว ผมเชื่อว่าคนไทยใจดีครับ และยินดีที่ให้โอกาสกับผม ขอบคุณครับ” .-ไนน์เอ็นเตอร์เทน