เพราะเกษตรกรรม เป็นอาชีพหลักของคนไทย และเป็นอีกหนึ่งรายได้หลักของประเทศ ดังพระบรมโชวาทในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ความว่า “การเกษตรนั้นถือได้ว่าเป็นรากฐานและชีวิตสำหรับประเทศของเรา เพราะคนไทยเราส่วนใหญ่เป็นผู้มีอาชีพทางเกษตรกรรม ข้าพเจ้าจึงมีความเห็นเสมอมาว่า วิธีการพัฒนาที่เหมาะสมแก่ประเทศเราอย่างยิ่ง ก็คือจะต้องทำนุบำรุงเกษตรกรรมทุกสาขาให้พัฒนาก้าวหน้า เพื่อยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของเกษตรกรทุกระดับให้สูงขึ้น”
จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการก่อตั้ง “พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” เนื่องในมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี ในปีพุทธศักราช ๒๕๓๙ เพื่อสานต่อพระราชปณิธานด้านการเกษตร ที่ทรงให้ความสำคัญกับการเกษตรไทย ทั้งยังเผยแพร่พระเกียรติคุณและพระอัจฉริยภาพด้านการเกษตรตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน รวมทั้งโครงการในพระราชดำริ พระราชกรณียกิจ และโครงการพระราชพิธีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร นอกจากนี้พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้เรียนรู้การทำเกษตรทฤษฎีใหม่ เพื่อนำไปปรับใช้กับการทำเกษตรกรรมของคนเองในอนาคตด้วย
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังเปลี่ยนชีวิตของอดีตวิศวกรสาว ที่ตัดสินใจทิ้งความศิวิไลและเงินเดือนหลักหมื่นในเมืองหลวง กลับไปใช้ชีวิตเกษตรกร ที่บ้านเกิด ในจังหวัดสุโขทัย หลังได้ไปเรียนรู้การทำเกษตรทฤษฎีใหม่ ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นเวลา 5 เดือน และนำความรู้ที่ได้กลับไปสานต่อบนที่ดินเพียง 2 ไร่ด้วยการทำไร่สวนผสมตามทฤษฎีของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ด้วยการปลูกกล้วย มะม่วง มะรุม ฝรั่งกิมจู มะพร้าวน้ำหอม เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลาดุกและปลานิล ซึ่งแม้รายได้จะเทียบไม่ได้กับอาชีพวิศวกร แต่สิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินก็คือความสุขที่ได้อยู่กับครอบครัวที่รัก
อดีตวิศวกรสาวที่ผันตัวไปเป็นเกษตรกร ยังบอกอีกว่า แม้ตอนนี้จะกลายเป็นเกษตรกรเต็มตัวแล้ว แต่ก็ยังนำความรู้เรื่องด้านวิศกรรม มาประยุกต์ใช้กับการทำการเกษตรในปัจุบัน ทั้งเรื่องการวางแผน การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย การคำนวณรายได้ และยังตั้งปณิธานจะพัฒนาพื้นที่เกษตรกรรมของตนให้ดียิ่งขึ้น เพื่อเป็นตัวอย่างให้ชาวบ้านคนอื่นได้ปฏิบัติตาม