นอกจากงานแสดงที่เป็นรายได้หลักของดาราไทยแล้ว งานพรีเซนเตอร์โฆษณาก็เป็นอีกแหล่งรายได้สำคัญ เพราะโกยเงินได้เป็นกอบเป็นกำ เนื่องจากค่าตัวพรีเซนเตอร์สินค้าสมัยนี้ เบาๆ ก็ปาเข้าไปหลักล้านกันแล้ว โดยเฉพาะระดับพระนางแถวหน้า อย่างน้อยๆ ก็มี3-7 ล้านอ่ะ ยิ่งถ้าเป็นซุปตาร์ตัวแม่ตัวพ่อ อย่าง อั้ม พัชราภา หรือ ป๋าเบิร์ด ธงไชย นี่เผลอๆ แตะหลักสิบล้านนะคะ เพราะเจ้าของสินค้าเค้ามั่นใจในศักยภาพของพรีเซนเตอร์เหล่านี้ว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายได้แน่นอน แถมยังส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าและแบรนด์ของเค้าได้ด้วย จึงยอมทุ่มเงินมหาศาล จ้างดาราที่เป็นที่ชื่นชอบของคนจำนวนมาก มาเป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งยุคนี้ก็มักจะเหมารวมทุกสื่อ ทั้งโฆษณาทีวี, สิ่งพิมพ์, โซเชียลเน็ตเวิร์ค รวมไปถึงต้องออกอีเว้นท์อย่างน้อยกี่ครั้งๆ หรือเดินสายพบสื่อ และทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอะไรยังไงบ้าง เรียกว่าวิน-วิน กันทั้งเจ้าของสินค้าและตัวดารา
ทีนี้ในมุมมองของประชาชน นิด้าโพลร่วมกับไนน์เอ็นเตอร์เทนก็สำรวจพบว่า คนไทย 65.52% ระบุว่า พรีเซนเตอร์ไม่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าแต่อย่างใด เพราะก่อนจะควักกระเป๋าซื้อของแต่ละครั้งเค้าจะดูที่ประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก, ตามด้วยเป็นของที่ใช้ประจำอยู่แล้ว พอหมดก็ซื้อใหม่, ตามด้วยการดูที่ราคาและความคุ้มค่า,
ขณะเดียวกันยี่ห้อสินค้าก็มีผลต่อการตัดสินใจซื้อไม่น้อย เพราะถ้าเป็นแบรนด์ไม่คุ้นเคย เค้าไม่เชื่อถือ ก็จะไม่ค่อยยอมควักกระเป๋าซื้อค่ะ, และสุดท้ายก็คือ อยู่ที่ความพอใจของตัวเองเป็นหลัก อยากซื้อก็ซื้อ ไม่เกี่ยวกับว่าดาราคนไหนจะเป็นพรีเซนเตอร์
ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่เราไปสำรวจความคิดเห็นมา 32.24% ยอมรับตรงๆ ค่ะว่า ดาราพรีเซนเตอร์มีอิทธิพลต่อการเลือกซื้อสินค้า แต่ถึงอย่างนั้นเค้าก็จะดูก่อนว่า ตัวสินค้าก็ต้องมีคุณภาพหรือดูมีความน่าเชื่อถือด้วย, แล้วก็ดูว่าพรีเซนเตอร์เหมาะสมน่าเชื่อถือหรือเปล่า ซึ่งนี่ล่ะค่ะเป็นเหตุผลว่ากว่าสินค้าแต่ละอย่างเค้าจะเจาะจงเลือกดาราคนไหนมาเป็นพรีเซนเตอร์ เค้าต้องคิดแล้วคิดอีกว่าภาพลักษณ์เหมาะกับสินค้าเค้าจริงๆ, ส่วนคนที่บอกว่าถ้าดาราที่ชื่นชอบเป็นพรีเซนเตอร์ ก็จะซื้อสินค้าชิ้นนั้นทันทีแบบไม่คิดมาก ก็มีอยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกับคนที่เชื่อว่าพรีเซนเตอร์ดาราก็ใช้สินค้านั้นจริงๆ, นอกจากนี้ก็มองว่า การใช้ดาราเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าทำให้จดจำสินค้าได้ง่าย แล้วก็ซื้อไปตามกระแส