“ลูกตาล” แจ้ง 3 ข้อหา เจ้าของร้านเพชร แซะ อย่าสร้างเรื่อง!

เรื่องยังไม่จบง่ายๆ หลังเจ้าของร้านเพชร “จุ๋ม ฐิตาภัสร์ อัครศักดาภิรมย์” บุกทวงหนี้ 1.4 ล้านบาท จากนางแบบดังเจ้าของฟิตเนต “ลูกตาล ชโลมจิต” เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2563 สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากชาวเน็ตเป็นวงกว้าง กระทั่งฝ่ายนางแบบสาว ออกมายืนยันว่าจ่ายเงิน 7 หมื่นบาทมาหนึ่งปี รวมเป็นเงิน 845,000 บาท แต่ยอดเงินกู้ 1.4 ลบ. กลับไม่ลด แถมฝ่ายเจ้าของร้านเพชรยังได้ยึดทรัพย์สินที่นำไปค้ำประกันไว้ จากนั้นเจ้าของร้านเพชรออกมาโต้ว่าเงิน 8 แสนกว่าบาทเป็นสินน้ำใจ ไม่เกี่ยวหนี้


.

และล่าสุดวันนี้(6ก.พ.2563) “ลูกตาล” พร้อมให้สัมภาษณ์อีกครั้งที่ไนน์เอ็นเตอร์เทน ว่าอยากจะชี้แจงเรื่องที่ทางคู่กรณีออกสื่อไปเมื่อวาน(5ก.พ.) ว่า “มาบอกว่าเรารู้จักกันมานานให้กู้เงินด้วยความสงสาร และเราโทรศัพท์อ้อนวอนถึง 3 ครั้ง อันนี้ไม่เป็นความจริง อย่ามาดราม่าเยอะ ไม่ต้องมาสร้างเรื่อง เราไม่ได้ทำแบบนั้น ความจริงคือเราซื้อเพชรร้านเขาหลายอย่าง แต่เราต้องการใช้เงินเพื่อขยายธุรกิจไม่ใช่ว่าธุรกิจมีปัญหาตามที่เขาบอก ความตั้งใจคือจะไปขายคืนไม่ได้จะกู้ แต่เขาไม่รับซื้อคืน ขอเปลี่ยนเป็นสัญญาเงินกู้”


.

เรื่องเงินOD ที่บอกเป็นเงินสินเชื่อจากธนาคาร ที่ถอนมาปุ๊บดอกเบี้ยก็เกิดเลย “อันนี้แหละที่เรารู้สึกว่าอย่ามาดราม่าเยอะ ถ้าอย่างนั้นเอาเอกสารมาให้ดูไหม เพราะมันไม่มีใครทำหรอก ที่ต้องไปหากู้เงินหรือเอาเงินODมาให้ เรื่องODเราก็เพิ่งรู้จากที่เขาพูดในรายการว่ากู้เงินมาเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้บอกตั้งแต่ตอนแรก และทำสัญญากันปกติ และในสัญญาก็ไม่ได้ระบุดอกเบี้ย แค่บอกว่าร้อยละ 5 บอกเราต้องจ่ายเดือนละ 7 หมื่นนะ เราเข้าใจว่า 5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี เราพลาดที่ไม่ได้เขียนดอกเบี้ยในสัญญาและไม่เอะใจอะไรเพราะไม่เคยกู้เงิน”

.


เงินที่ให้ต่อเดือน ทางคู่กรณีบอกว่าเรามีการตกลงกันไว้แล้วเป็นค่าสินน้ำใจ ไม่ใช่เงินต้นหรือดอก “ลองคิดดู เราก็กู้เงินเขา เราไม่มีเงิน จะเอาเงินตั้ง 8 แสนไปให้สินน้ำใจเพื่ออะไร มันไม่มีสินน้ำใจในเงินกู้อยู่แล้ว ที่เราจ่ายไปจุดประสงค์คือจ่ายดอกและต้น ตามที่เราคิดตามนั้น แต่เขาบอกว่าไม่มีต้น เป็นแค่ดอก มันไม่ใช่สินน้ำใจ ตอนที่เรากู้สัญญาเขาบอกว่าเราต้องผ่อนเดือนละ 7 หมื่น เขาเป็นคนเขียนเช็กที่เราจ่ายเองด้วยซ้ำ วิธีการจ่ายเงินคือ เราโอนเงินไป แล้วเขาจะขีดฆ่าเช็กทิ้ง แล้วถ่ายรูปส่งกลับมา เป็นอย่างนี้จนครบ 1 ปี แต่หลังจากที่เราจ่ายครบปี แต่ปรากฏ 8แสนกว่ามันคือดอก ต้นยังเหมือนเดิม เลยขอปรับลดหนี้หน่อย แต่เขาก็จะเปลี่ยนสัญญาอีกเป็นให้ผ่อนเดือนละ 8 หมื่นกว่าบาท อีก 24 เดือน รวมแล้วเกือบ 2 ล้านบาท กลายเป็นสัญญายาวและดอกเยอะกว่าเดิมอีก”

.

ทนายว่ายังไงเมื่อไม่มีระบุในสัญญา “โดยปกติศาลมักจะตัดสินว่าอันนี้คือเงินต้น แล้วเหลือเท่าไหร่ก็เอาทรัพย์สินไปขายและเอามาหักลบหนี้ ถ้าเกินเขาก็คืนมาแค่นั้น แต่ตอนนี้เรื่องแจ้งความคือเรียบร้อยหมดแล้ว รอตำรวจเรียกมาสอบ และส่งฟ้องศาล คือที่เราไปแจ้งมี 3 ข้อหา ความผิดตามพรบ.ทวงหนี้ และเราก็ไปแจ้งความหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา , เรียกเงินดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด ส่วนค่าเสียหายกำลังพิจารณาดูอยู่ว่าเหมาะสมมากน้อยแค่ไหน”

.

ที่คู่กรณีบอกว่าไปแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย “เราแค่กำลังงงว่าทำไมเขาไม่แจ้งประเด็นสำคัญๆ ว่าเราโกงเงินไม่ใช้หนี้ ถ้าเขาอยากได้เงินและคิดว่าตัวเองทำถูก ทำไมไม่แจ้งฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเราเลย ส่วนเรื่องแจ้งความแท็จหรือทำร้ายร่างกายก็ยังไม่มีตำรวจเรียกเรามานะ เพราะมันไม่มีทำร้ายร่างกาย ส่วนที่บอกว่าตั้งใจจะมาบอกว่ายอดหนี้ลดจาก 1.4 ลบ. เหลือ 1.2 ลบ. คือถ้าดูตามคลิปเห็นว่าเขาพูดไหม นอกจากเอาเงินคืนมาๆ เราไม่ได้พูดอะไร ถ้าเขาจะพูดต้องได้ยินในคลิป เราอยากให้หลักฐานเป็นข้อพิสูจน์มากกว่า”

.

ส่วนเรื่องมอเตอร์ไซค์ “เราเอาไปให้เขา แล้วตีราคามูลค่ามอเตอร์ไซค์มา 3 แสนบาท เขาก็นำไปขาย 2 แสนบาท ซึ่งเราบอกว่าก็ใช้หนี้ไปซึ่งเขาก็โอเค เท่ากับว่ายอดหนี้ต้องเหลือ 1.1 ลบ. เพราะทนายแจ้งว่าเซ็นรับ 3 แสนบาทจะไปขายต่ำกว่านี้ไม่ได้ ทนายแนะนำให้ไปแจ้งความและเอาเรื่องกับคุณจุ๋มตั้งแต่ปีที่แล้ว(2562) แต่เราไม่อยากให้เรื่องถึงศาล เขาเสียวันเวลาที่เคยสนิท แต่เราเสียดายเงินมากเลย เขาพยายามจะสร้างซีน เราพลาดตรงที่ไม่รู้เรื่องเงินกู้ ถ้ารู้จะให้เขาเขียนไว้ว่าดอกเท่าไหร่ ต้นเท่าไหร่ 7 หมื่นคืออะไร”.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน

เข้าชม 227 ครั้ง
ดูข่าวเพิ่มเติม