จากกรณีคลิปเหตุการณ์เจ้าของร้านเพชรบุกทวงหนี้นางแบบดังเจ้าของฟิตเนต เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2563 ทราบทีหลังเป็น “จุ๋ม ฐิตาภัสร์ อัครศักดาภิรมย์” เจ้าของร้านเพชร ที่ไปทวงหนี้ที่ฟิตเนสของ อดีตนางแบบเซ็กซี่ “ลูกตาล ชโลมจิต” วัย 49 ปี ซึ่งในคลิปมีบางช่วงที่พูดว่า “หนีทำไม ถ้าไม่ผิด ถ้าคืนเงินทุกอย่างก็คือจบ” แต่ด้านอดีตนางแบบกลับเมินและเดินขึ้นรถหรูก่อนออกจากบริเวณดังกล่าว
.
ล่าสุดวันนี้(4 ก.พ. 2563) “ลูกตาล ชโลมจิต” พร้อมทนายความ “เดชา ทองสุข” ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเปิดใจถึงเหตุการณ์เจ้าของร้านเพชรบุกทวงเงิน โดยอดีตนางแบบได้เล่าถึงที่มาที่ไปของต้นเรื่อง ว่า “เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เราอยากขยายกิจการ เลยระดมเงินทุม แต่ไม่อยากกู้หนี้ยืมสินใคร เลยคิดว่าเราเอาเครื่องเพชรที่มีไปขายดีกว่า เลยเอาไปขายคืนร้านของคู่กรณี ซึ่งเป็นเพชรของร้านเขา ซึ่งมูลค่าเพชประมาณ 1.6 ล้านบาท แต่เราต้องใช้เงินประมาณ 1.5 ลบ. เลยขอขายคืน ซึ่งเขาบอกว่ามันเก่าแล้ว ไม่รับซื้อคืน เอาเป็นขายฝากไหม คือต้องมีสัญญาเงินกู้
.
สรุปเอาเครื่องเพชรไป มูลค่า 1.6 ลบ. เป็นหลักประกัน และขอหลักประกันเพิ่ม เรามีสมุดมอเตอร์ไซค์อยู่ ราคา 6 แสนกว่าบาท เลยเอาไปค้ำประกันเพิ่้ม เราก็ได้รับเงินมา 1.4 ลบ. ซึ่งเราผ่อนมา 7 หมื่นบาททุกเดือน 1 ปีไม่เคยขาด รวมแล้วเป็นเงิน 845,000 บาท จากเงินต้น 1.4 ลบ. พอถามยอดหนี้ว่าเหลือเท่าไหร่ เขาบอกว่าที่ผ่านมา 8แสนกว่าบาทมันคือดอกเบี้ยทั้งหมด พร้อมกับยึดเครื่องเพชรมูลค่า 1.6 ลบ. และ มอเตอร์ไซค์ 6.5 แสนบาท รวมกับที่ส่งไปด้วยเขาได้จากเราไปทั้งหมด 3 ล้านกว่าบาท แต่ยังทวงหนี้เรื่อยๆ เราขอเคลียร์ที่เงินต้นถ้าเอาของเราไปก็หักเงินต้นได้ไหม เหลือเท่าไหร่เราจะจ่ายคืนให้ แต่เขาไม่ยอม
.
และตอนที่ทำเงินกู้กับเขา เขาให้เขียนเช็คค้ำประกันอีก 1.4 ลบ. แต่เราไม่ได้เขียนลงไปในสัญญา พอถึงเวลาก็มาขู่ว่า จะฟ้องเช็ค 1.4 ลบ. กับที่กู้อีก 1.4 ลบ. รวมแล้วเป็น 2.8 ลบ. กะเอาสองเด้ง เลยจะขอคุยที่ศาล พอคุยกันเรียบร้อยก็ส่งตัดสินใจยกมอเตอร์ไซค์ให้เขาไป เพื่อให้จบและฉีกสัญญาทิ้ง แต่เขาไม่ฉีก เท่ากับเราเป็นหนี้ 1.4 ลบ. เหมือนเดิม ซึ่งก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์ไปทวงหนี้กับคนรอบตัวเรากว่า 10 คนได้ ไปเพื่อประนามเราให้เสียชื่อเสีย จนวันเกิดเหตุที่ยิม ตั้งใจมาถ่ายคลิปเพื่อทำลายชื่อเสียงเรา ทั้งที่เคยบอกไปแล้วว่าให้ไปฟ้องศาลแต่เขาไม่ฟ้อง
.
ส่วนเหตุการณ์ที่ยิม ลูกตาลเล่าว่า “เขาเดินมาที่ยิมทั้งที่มีลูกค้าเยอะมาก เราบอกว่าขอคุยข้างนอก บอกว่าคุยกันจบไปแล้วให้ติดต่อทางทนายไป แต่เขารีบถ่ายเลยว่า เราโกงเงิน แต่เราไม่พูด ทนายบอกให้ไปแจ้งตำรวจ ส่วนภาพที่เห็นเดินหนี้ มันไม่ใช่ เราไปแจ้งตำรวจ แต่กลายเป็นว่า เขาไปให้ข่าวว่าลูกตาลจะทำร้ายร่างกาย แต่ตำรวจมาระงับไว้ได้ ทั้งที่เรามีกล้องวงจรปิด และเอกสารการจ่ายเงินต่างๆ ก็มี ตอนแรกเขาบอกว่าดอกร้อยละ 5 แต่เราคิดว่าร้อยละ 5 คือต่อปีเพราะมันไม่ได้เขียนในสัญญา พอสิ้นปีเราถามไปเขาบอกเหลือหนี้เท่าเดิม ทั้งที่เราจ่ายไป 8 แสนกว่าแล้ว เท่ากับกลายเป็นว่าเป็นดอกเบี้ย 60 เปอร์เซ็นต์ต่อปีที่เขาคิดเรา คือเราอยากให้ฟ้องหนี้เราจัง เพราะคนที่โดนกระทำคือเรา และถ้าย้อนกลับไปได้ เราจะไม่ซื้อเพชรร้านเขา
.
ด้าน นายเดชา ทองสุข ทนายความ เล่าว่า “มีการทำสัญญากู้ทั้งหมด 3 ฉบับ มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ลูกตาลมาปรึกษาว่าผ่อนหนี้แล้วแต่หนี้เหลือเท่าเดิม ซึ่งทางเราจ่ายไป 845,000 แต่ต้นยังอยู่ที่เดิม วันนึงเรานัดคุยกันที่ สน.หัวหมาก คุยว่ายกมอไซค์ให้เพื่อตัดหนี้ เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 62 ทุกอย่างที่เอาไป ถ้าหักต้นได้แล้วเหลือเท่าไหร่ทางนี้จะจ่ายให้ ซึ่งมอเตอร์ไซค์ที่ตกลงราคาคืนกันที่ 3 แสนบาท แต่ปรากฎคุยกันไม่รู้เรื่อง เราเลยให้ลูกตาลหยุดจ่ายเงินก่อนเพราะไม่รู้จ่ายไปจะตัดยอดไหน ส่วนถ้ายังติดใจให้ไปดำเนินการฟ้องที่ศาล ถ้าศาลสั่งเท่าไหร่เรายินดีจะจ่าย แต่เราตั้งข้อสังเกตว่าทำไมคู่กรณีไม่ดำเนินการทางศาล จะไปทวงออกสื่อ ผิดพรบ.ทวงหนี้ด้วยซ้ำ และเป็นการหมิ่นประมาท
.
“ในสัญญาไม่ระบุดอกเบี้ย ซึ่งสัญญา 3 ฉบับ ของวันที่ 8 ต.ค กู้เงิน 5แสน ไม่ระบุดอก ต่อมาฉบับ 3 ธ.ค. กู้ 5แสน ระบุมีมอเตอร์ไซค์ค้ำประกัน และฉบับ 8 ธ.ค. 60 กู้ 4แสน มีแหวนเพชรค้ำประกัน แต่ทั้งหมดไม่มีระบุดอกเบี้ย ซึ่งการเรียกดอกเกินมันผิดกฎหมายอยู่แล้ว ทั้งที่เรามีเจตนาจะใช้หนี้ แต่ที่ให้หยุดชำระเพราะให้ไปเคลียร์ก่อนว่ายอดเท่าไหร่ ทั้งที่หลักประกันน่าจะโคฟเวอร์ยอดหนี้หมดแล้ว ส่วนการดำเนินการต่อไป ทางเราแจ้งความที่ สน.มักกะสัน เรื่อง หมิ่นประมาทโดยโฆษณา กับการทวงหนี้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตอนนี้รอตำรวจเรียก แล้วเราคงคุยเรื่องหนี้ทีเดียวถ้าคุยได้ ว่าจะดำเนินการหรือคุยยังไง รอก็รอเขาฟ้องมาว่าจะบังคับคดีที่ 1.4 ลบ. หรือไม่ ส่วนถ้าเขาไม่ฟ้องก็เป็นสิทธิ์ของเขา”