ทำเอาคุณแม่สายเฮลท์ตี้ทนไม่ไหว โพสต์รูปพร้อมกับข้อความยาวเหยียด บ่นถึงสภาพอากาศในกรุงเทพฯ ที่ตอนนี้เลวร้ายสุดๆ เพราะแค่ออกไปทำธุระแค่เพียงไม่นาน แค่ประมาณ 15 นาที ตาของเธอก็อักเสบ เป็นที่มาของโพสต์อันยาวเหยียดแบบนี้
“เรามาถึงจุดนี้กันแล้วใช่ไหม ที่การไปออกกำลังกายข้างนอก คือการทำลายสุขภาพ การพาลูกออกไปเล่นข้างนอก คือการทำร้ายสุขภาพของเขา ท้องฟ้าข้างนอกมืดมัวปกคลุมไปด้วยละอองฝุ่นทั้งเมือง คนไทยจะมีคุณภาพชีวิตแบบนี้จริงเหรอ? นี่แค่ออกไปข้างนอก (และใส่มาส์กปิด) เพื่อแวะซื้อของแป๊บเดียวประมาณ 15 นาที แต่ผลที่ได้รับคือตาอักเสบจากมลพิษและฝุ่น PM2.5 ได้ขนาดนี้? เหมือนโดนคำสั่งให้ถูกกักบริเวณจับควบคุมตัวอยู่ในบ้าน We have come to an era where exercising outdoors is a risk to our health. Taking our children to play outside is destroying their health. Our skies are dark and hazy and gray with dust particles. Is this the quality of life we will live with? I went out (with a mask on) to buy some groceries and this is what happened to my eyes as a result of the pollution and PM2.5. I was exposed outdoors for only 15 minutes. This is the era where we are all sentenced to House Arrest. #SaveUs #SaveOurChildren #SaveOurPlanet #WeNeedFreshAir “
ซึ่งเจ้าฝุ่น PM2.5 ก็ร้ายกาจมาก หากสูดเข้าไปหรือสัมผัสก็อาจเป็นต้นเหตุของโรคร้ายแรงหลายๆ โรคทีเดียว
หลายคนอาจจะทราบถึงความเป็นพิษของเจ้าฝุ่น PM2.5 นี้แล้ว แต่เราจะพาไปทบทวนถึงความอันตรายของเจ้าฝุ่นร้ายนี้อีกครั้ง
ฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 กลายเป็นอีกหนึ่งมลพิษที่อยู่คู่กับคนไทยอย่างยาวนาน เพราะสาเหตุหลักสำคัญเกิดจากการกระทำของมนุษย์ ซึ่งการจะแก้ปัญหาอย่างเด็ดขาดยังต้องอาศัยเทคโนโลยีและแนวทางจัดการจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำอย่างยั่งยืน ดังนั้นเมื่อเรายังต้องเผชิญไปอีกพักใหญ่ สิ่งที่จะทำได้คือการรู้เท่าทันความอันตราย หลีกเลี่ยงและระมัดระวังการใช้ชีวิต เพื่อให้มีผลกระทบเชิงลบต่อร่างกายน้อยที่สุด
ศ.ดร.นพ.พงศ์เทพ วิวรรธนะเดช อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นักวิจัยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) หัวหน้าโครงการผู้ทำวิจัยชุดโครงการ ‘ความรุนแรงของปัญหาฝุ่นละอองในบรรยากาศ และผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนในเชียงใหม่และลำพูน’ ชี้ว่าฝุ่น PM 2.5 (มีขนาดอนุภาคเล็กกว่า 2.5 ไมครอน) มีความอันตรายต่อร่างกายสูง โดยได้อธิบายความอันตรายว่า
“ฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน มีขนาดเล็กมากพอที่จะหายใจเข้าไปสู่ปอด และซึมผ่านผนังปอดเข้าสู่กระแสเลือดดังนั้นแล้วผลที่เกิดขึ้นกับร่างกายจึงมีทั้งแบบ ‘เฉียบพลัน’ (เห็นผลใน 1 – 2 วัน) ซึ่งส่วนมากจะเกิดกับระบบทางเดินหายใจ คือ ไอ เจ็บคอ หายใจแล้วมีเสียงฟืดฟาด เลือดกำเดาไหล ซึ่งหากเลือดไหลลงคอก็จะทำให้เสมหะมีเลือดเจือปน หากเข้าตาก็จะทำให้เคืองตา ตาแดง และหากโดนผิวหนังก็จะทำให้เกิดผื่นคัน เป็นตุ่มได้ ส่วนผลแบบ ‘เรื้อรัง’ (ค่อย ๆ สะสม แล้วแสดงผลในระยะยาว) คือ เส้นเลือดหัวใจตีบตันทำให้หัวใจวาย หัวใจเต้นผิดปกติ, เส้นเลือดไปเลี้ยงสมองตีบ ทำให้เกิดภาวะอัมพาตหรือเสียชีวิต, การเป็นมะเร็งปอดเพราะฝุ่นขนาดเล็กจะมีสารก่อมะเร็ง Polycyclic Aromatic Hydrocarbon (PAH), อีกระบบคือเข้ารกไปทำอันตรายเด็กในท้อง ทำให้เด็กคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักน้อย ติดเชื้อง่าย ทุพโภชนาการ และเป็นโรคออทิสซึม ซึ่งผลกระทบเหล่านี้มีการยืนยันที่ตรงกันจากงานวิจัยทั่วโลก”
นอกจากอาการเจ็บป่วยข้างต้นแล้ว อีกโรคหนึ่งที่น่าตระหนักถึงความอันตรายของฝุ่น PM 2.5 คือ “โรคถุงลมโป่งพอง” ซึ่งมีความอันตรายเช่นเดียวกับการ “สูบบุหรี่” โดย ศ.ดร.นพ.พงศ์เทพ ได้อธิบายว่า “การเกิดถุงลมโป่งพอง เกิดมาจากสาเหตุเดียวกัน คือ การสูดเอาฝุ่นละอองขนาดเล็กเข้าไปที่ปอด กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ เม็ดเลือดขาวกินฝุ่นพวกนี้เพื่อรักษาร่างกายแต่ไม่สามารถย่อยได้จึงตายแล้วปล่อยเอนไซม์ที่เป็นน้ำย่อยมาย่อยผนังปอดอีกทีหนึ่ง ทำให้ถุงลมนับร้อยในปอดแตกออกเหลือเป็นถุงเดียว พื้นที่การแลกเปลี่ยนก๊าซลดเหลือน้อยลง และทำให้เกิดอาการเหนื่อย ดังนั้นเมื่อเราสูดหมอกควันเข้าไปมาก ๆ จึงเป็นเสมือนการสูบบุหรี่”
ดังนั้นแล้วทุกคนจึงควรป้องกันการรับฝุ่น PM 2.5 เข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง คือ ผู้สูงวัย (อายุมากกว่า 60 ปี) เพราะมีความต้านทานโรคน้อยและส่วนใหญ่จะมีโรคประจำตัว รองลงมาคือเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อง่าย อีกกลุ่มเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากเพราะมีผลกระทบโดยตรงคือผู้ป่วยโรคปอดและโรคหัวใจซึ่งเมื่อได้รับฝุ่นเข้าไปอาจทำให้อาการกำเริบจนเสียชีวิตได้
สำหรับวิธีการป้องกันนอกจากการใส่หน้ากากมาตรฐาน N95 (ป้องกันได้ 95%) ศ.ดร.นพ.พงศ์เทพ แนะนำว่าหากไม่สามารถหาซื้อได้หรือสวมใส่แล้วไม่สบาย “สามารถไส่หน้ากากอนามัยทั่วไปซ้อน 2 ชั้น หรือใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำแทนได้ โดยในช่วงที่มีการประกาศว่าค่า PM 2.5 สูงเกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ (เฉลี่ย 24 ชั่วโมง ไม่เกิน 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสฝุ่น และงดออกกำลังกายในพื้นที่เปิดหรืออาคารที่ไม่ได้ปิดมิดชิดเพราะจะทำให้มีการหายใจเอาฝุ่นเข้าไปมากขึ้น แม้อาศัยอยู่ในบ้านก็ควรลดกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดฝุ่นฟุ้งกระจาย เช่น การปัดกวาดฝุ่น (ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดแทน) การจุดธูปเทียน และการทำอาหารในบ้าน เป็นต้น”
ที่มา : https://www.dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=28500
ซึ่งหลายๆ คนที่ยังไม่เคยเบาใจกับเจ้าฝุ่นร้ายนี่ ก็ถึงกับทำให้เทรนการค้นหาจากคีเวิร์ด “ค่าฝุ่นวันนี้” ติดอันดับ Top 3 ของการค้นหา แทบทุกวัน
ข้อมูลดัชนีคุณภาพอากาศ : http://air4thai.pcd.go.th/webV2/aqi_info.php