หลอนรับฮาโลวีน !! กับเรื่องเล่าสยองของเหล่าคนดัง

ว่ากันว่าการเจอดีจากสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นนั้น เหล่าคนบันเทิง นักร้องและนักแสดงมักจะพบเจอกันบ่อยที่สุด เพื่อเป็นการยืนยันว่าคำบอกเล่านี้น่าจะเป็นเรื่องจริง “ไนน์เอ็นเตอร์เทน” จึงรวบรวมเรื่องเล่าผีๆ จากเหล่าคนดังมาให้เสพความหลอนกันเบาๆ ขอเตือนก่อนว่าถ้านั่งอ่านคนเดียวอาจจะมีเสียวสันหลังได้เหมือนกัน


จักจั่น อคัมย์สิริ : เจอดีในสตูดิโอ



เรื่องเล่าของนางเอกสาวสวย “จั๊กจั่น อคัมย์สิริ” ถูกเล่าผ่านผู้จัดการ อาบีของเธอ โดยเล่าถึงช่วงที่จั๊กจั่นโหมงานหนักจนต้องนอนพักในสดูดิโอถึง 3 คืน

“ครึ่งเดือนหลังของ ก.พ. (2561) ต้องขึ้นงานเช้าที่บริษัทหนึ่ง แล้วขึ้นงานอีกทีตอนเที่ยง บริษัทเลยเปิดสตูดิโอให้อาหลานเลย 1 สตูฯ เพื่อให้ชะนีน้อยได้มานอนหลับ กินนอนเอาแรงช่วงรอยต่อของงาน อาหลานไปปิดไฟนอนกันในห้องแต่งหน้าทำผมของสตูนั้น เมื่อวานซืนคือวันแรกที่ไปนอน หลานหลับสนิทเพราะนางอดนอนมาหลายวัน ส่วนอาหลับๆ อยู่เกิดรู้สึกว่าเหมือนมีคนมายืนอยู่ทางขวา ลืมตามาดูไม่เห็นมีอะไรเลยนอนต่อ วันแรกผ่านไป

วันที่ 2 เหนื่อยกันมาก หลับกันทั้งคู่ อารู้สึกเหมือนโดนผีอำ คือขยับตัวได้แต่ได้นิดเดียว ลืมตามาเห็น จจ.หลับสนิทบนโซฟา พยายามตะโกนเรียกแต่เสียงไม่ออก ทั้งนะโมก็แล้ว สวดมนต์ก็แล้ว นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หน้าบริษัท ก็ไม่ดีขึ้น พยายามตะโกนเรียก จั่น!! จั่น!! หลายทีมากกกกก จนจั่นสะดุ้งพรวดลุกมาถามว่า “ห๊ะ..อะไรอ่ะอา ตกใจหมดเลย” คือทางเรายังเหมือนเรียกยังไงเสียงก็ไม่ออก แต่จั่นบอกได้ยินอาตะโกนดังมากแล้วนางก็สะดุ้งตื่นเลย 

วันนี้ เล่าให้พี่แม่บ้านฟังตอนเช้า แกขนลุก แกบอกแกก็โดนแบบนี้ แล้วอาหลานก็ต้องไปนอนห้องเดิมอีก อาตั้งใจจะไม่หลับ ไม่ปิดไฟด้วย เปิดยูธูปบทสวดธัมมจักรฯเบาๆ เลยใจชื้นบวกกับง่วงมากเกินเลยม่อยหลับไป อาหลานสะดุ้งตื่นเพราะมีเสียงดังในห้อง พัดค่ะ!! พัดพลาสติคที่อยู่บนเคาเตอร์แต่งหน้าหล่นลงพื้น หล่นได้มุมพอดีเสียงดังมาก อย่าถามว่าหล่นได้ไง ยังงงกันจนถึงตอนนี้ แถมด้วยเสื้อยืด จจ.หล่นลงไปกองที่พื้น จจ.ส่ายหน้าเลย นางยืนยันว่ามันอยู่ในกระเป๋า หล่นได้ไง ลมก็ไม่มี 

อาจเป็นอุปาทาน อาจไม่มีอะไร อาหลานก็ไม่คิดไรมาก แต่พรุ่งนี้ย้ายสตูละนะ ไปสตูเบอร์อื่นละ อย่าเดาว่าที่ไหน อย่าถามว่าสตูเบอร์อะไร เก็บโอกาสไว้ให้ได้เท่าเทียมกันนนนนนน”

อืม…เรียกว่าแค่มาทักทายกันเบาๆ ให้ไม่เหงาเท่านั้นเนอะ

โจ๊ก โซคูล : ครั้งแรกในห้องน้ำ

 

ย้อนวัยไปสมัยยังเรียนมัธยม บร๊ะเจ้าโจ๊ก เจอดีครั้งแรกในชีวิตในห้องน้ำโรงเรียนที่ยังคงหลอนมาจนถึงทุกวันนี้

“ครั้งแรกที่ถูกผีหลอกจริงๆ ไม่ใช่กึ่งหลับกึ่งตื่น ไม่ใช่เห็นแวบๆ ตอนนั้นเจอที่โรงเรียนมัธยมในจังหวัดพิษณุโลก ผมเรียนอยู่ ม.5 ก็จะได้ยินเรื่องเล่าเป็นตำนานว่า ในห้องน้ำชายชั้น 5 ถ้าใครไปเข้าห้องน้ำคนเดียวมักจะได้ยินเสียงคนตักน้ำราดหรือเสียงคนเดินโดยที่ไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำเลย ซึ่งตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ผมเฉยๆ มาก เพราะทุกๆโรงเรียนก็มีเรื่องเล่าแนวนี้ไว้หลอกรุ่นน้องเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่ตามประวัติตึกนั้นเคยมีคนตายจริงๆ ทั้งคนงานตกลงตายตอนก่อสร้าง และนักเรียนก็เคยตกลงมาตายเหมือนกัน 

วันที่เกิดเรื่อง เป็นวันสอบ เวลาประมาณ 8 โมงเช้า ผมก็อ่านหนังสือก่อนเข้าห้องสอบ แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ ห้องน้ำตรงนั้นกว้างใหญ่ มีห้องส้วมประมาณ 8 ห้อง และบล็อกปัสสาวะอยู่ตรงข้ามกันเหมือนทั่วๆ ไป ผมก็เดินไปบล็อกในสุดเลย ระหว่างนั้นก็คิดไปเรื่อยว่าเราอยู่ชั้นอะไรนะ นี่ชั้น 5 ที่ว่ามีผีไม่ใช่หรอ

จังหวะนั้นเอง ผมรู้สึกเย็น เสียววาบที่หลัง เหมือนมีคนจ้องเราอยู่จากข้างหลังใกล้ๆ จากนั้นก็มีเสียงขันตักน้ำราด จากห้องข้างหลัง ไม่ใช่ได้ยินแว่วๆ แต่ชัดมาก เป็นจังหวะช้าๆ สุภาพๆ แล้วก็ราดซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่อย่างนั้น

ตอนนั้นผมกลัวสุดๆ แต่ก็ตัดสินใจหันหลังไปดู ห้องส้วมทุกห้องเปิดประตูหมด แต่ผมก็ยังได้ยินเสียงตักน้ำราดจากห้องที่อยู่ตรงหน้า โดยที่ไม่มีอะไรขยับเลย น้ำนิ่งสนิท แต่มีเสียงที่ได้ยิน ผมตัดสินใจวิ่งออกไปจากห้องน้ำทันที พอจะถึงประตูผมหันไปมอง ก็เห็นร่างคนเป็นเงาดำๆ มองไม่เห็นหน้าตา เดินออกมาจากห้องส้วมที่มีเสียง แล้ววิ่งตรงมาทางผม ผมรีบวิ่งกลับไปที่หน้าห้องสอบทันทีพร้อมกับตะโกนบอกทุกคนว่า เจอผีหลอกในห้องน้ำ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อเลย”

นับว่าเป็นเรื่องหลอนที่ทำเอาไม่กล้าเข้าห้องน้ำสาธารณะคนเดียวเลย

ดีเจนุ้ย : เรื่องเล่าจากเมืองกาญจน์

สมัยยังอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่กาญจนบุรี ดีเจนุ้ยสายฮามักจะเจอกับเรื่องชวนพิศวงอยู่บ่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเกิดที่บ้านตัวเองอีกด้วย

“เรื่องนี้เกิดขึ้นที่บ้านในเมืองกาญจน์ เรารู้กันว่าพ่อนุ้ยเลี้ยงกุมาร วันหนึ่งพ่อไปซื้อไม้จากเขมรมาสร้างบ้าน จากนั้นก็สร้างตึกแถว 3 ชั้นเพิ่มด้านหน้า เพื่อทํากิจการค้าขายอะลูมิเนียม พร้อมกับเป็นบ้านพักอาศัย เลยยกบ้านไม้ให้ช่างอยู่ ปรากฏว่าเขาอยู่กันไม่ได้ เพราะโดนก่อกวนมาก ซึ่งช่วงที่เราอยู่แม่มักได้ยินเสียงโครมครามจากชั้น 2 ตลอด วิ่งขึ้นไปคิดว่าของร่วง แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น สุดท้ายต้องนิมนต์หลวงพ่ออุตตมะให้มาเทศน์ ว่าถ้าอยู่บ้านเขาก็อย่าก่อกวน จากนั้นค่อยสงบราบรื่น

ส่วนบ้านตึกแถว วันดีคืนดีนุ้ยอยู่ในห้องนอนกับแม่และพี่ชาย ก็ได้ยินเสียงประตูรีโมตข้างล่างเลื่อนขึ้นครืด… คิดว่าพ่อกลับบ้านแล้ว จากนั้นมีเสียงเคาะประตูห้องนอน ก๊อกๆ จึงไปเปิดให้ แต่กลับไม่มีใครเลย นุ้ยปิดกลับอย่างเร็ว กระโดดขึ้นเตียงถาม ‘แม่! ใครเคาะอะ’ มองไปที่ช่องใต้ประตูก็ไม่มีเท้าใคร สักพักพ่อเดินขึ้นมา เลยถามว่าเมื่อกี้เคาะประตูหรือเปล่า พ่อตอบว่าเปล่า เพิ่งมาถึง นุ้ยเลยเดาได้ว่าน่าจะเป็นกุมารที่พ่อเลี้ยงไว้มาล้อเล่น

นอกจากนี้มีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่นุ้ยเห็นกับตาแบบจําไม่ลืมคือ บ้านนุ้ยอยู่นอกตัวเมืองกาญจน์ ระหว่างทางขับรถจะกลับบ้าน ถนนจะมืดๆ เงียบๆ ข้างทางเป็นป่า พ่อขับ พี่ชายนั่งหน้า นุ้ยนั่งกับแม่ข้างหลัง สักพักแม่พูดขึ้นมาว่า ‘ระวังๆ มีคนจะข้ามถนน’ นุ้ยก็เห็นว่ามีคนยืนอยู่กลางถนน เป็นเงาผู้หญิงดําๆ แต่หัวโล้น ที่รู้ว่าเป็นผู้หญิงเพราะเห็นใส่เสื้อคอกระเช้า นุ่งผ้าถุง ตัวสูงประมาณ 190 เซนติเมตร จังหวะนั้นมีรถจี๊ปฝั่งตรงข้ามขับสวนมา พอรถจี๊ปขับผ่านไปก็ไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นแล้ว สรุปพ่อกับพี่ชายไม่เห็น แต่นุ้ยกับแม่เห็น กลัวจนไม่รู้จะทําอะไร เลยกระโดดขึ้นไปนั่งบนตักแม่”

เรียกว่าดีเจนุ้ยเป็นคนดังอีกคนที่เจอดีบ่อยไม่ใช่เล่นจริงๆ

โอม ค็อกเทล : เกือบตายเพราะเขาอยากให้ช่วย

เป็นหนึ่งในนักร้องหลายๆ คนที่ต้องพบเจอกับเรื่องลี้ลับอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะตอนบวชและหลังจากบวช ซึ่งครั้งหนึ่งที่โอมบอกว่ายังจำฝังใจ คือการเข้ามาขอความช่วยเหลือของบางสิ่งบางอย่างที่ทำเอาเกือบช็อก

“เรื่องแบบนี้ผมเจอมาเรื่อยๆ แต่ที่น่ากลัวคือเจอพร้อมเพ็ญ (ภรรยา) วันนั้นผมขับรถจากบ้านตัวเองแถวเมืองทองจะไปกินข้าวกับครอบครัวเพ็ญที่บ้านเขาย่านรามอินทรา ขับไปถึงรามอินทรากิโลเมตรที่ 3 หรือ 4 นี่แหละ รถเราชน เสียงดังสนั่น เพ็ญกรี๊ดลั่นรถ ผมก็เหยียบเบรกเต็มที่ มองเห็นมอเตอร์ไซค์สีครีมขับข้างๆ คนขับใส่เสื้อหนัง ใส่หมวกกันน็อกสีครีม เราทั้งคู่เห็นตรงกันว่าคนขี่เสียหลักแล้วสไลด์เข้าไปใต้รถผม มอเตอร์ไซค์ไถลกึกๆ จนเกิดประกายไฟ ในใจคิดว่าเขาคงเป็นลม และเราคงทับเขาไปแล้ว 

ผมรีบจอดรถห่างออกจากจุดนั้นไปประมาณ 50 เมตร แล้วตั้งสติ ปลอบแฟนอยู่ครึ่งนาที ก็ลงรถพร้อมก้มดูใต้ท้องรถด้วยว่ามีอะไรติดอยู่มั้ย จากนั้นวิ่งกลับไปที่เกิดเหตุ น่าแปลกมากที่ไม่มีใครสนใจอะไรเลย พ่อค้าแม่ค้าขายของปกติ คนผ่านไปมาไม่มีใครตื่นตระหนก ยิ่งไปกว่านั้นคือ ไม่มีมอเตอร์ไซค์ ไม่มีคนเจ็บ มีแค่เศษกระจกแตกเป็นเม็ดเล็กๆ โมเมนต์นั้นคิดใจว่าเราอาจเห็นเกินเหตุ มอเตอร์ไซค์อาจรู้ตัวว่าผิดเลยขับหนีไปเอง

พอไม่เห็นอะไรเราก็ไปกินข้าวกันตามเดิม เสร็จเรียบร้อยก็กลับบ้านตัวเอง รุ่งเช้ายามถามว่ารถไปชนอะไรมา ยุบนิดเดียวแต่มีรอยประหลาดเป็นริ้ว 5 เส้น ถ้าเอามือไปวางทาบจะพอดีร่องนิ้วมือ 5 นิ้ว เห็นแล้วผมก็โทร.ไปเล่าให้คุณลุงท่านหนึ่งที่เคยช่วยเรื่องนี้ฟัง ท่านให้ถ่ายรูปส่งให้ดู แล้วบอกว่าเห็นพลังงานบางอย่างอยู่ในรูป คุณลุงบอกว่าเขาเพิ่งตายวันนั้นตอนเช้า มอเตอร์ไซค์ถูกสิบล้อชน เขาพยายามใช้กําลังทั้งหมดที่มีปรากฏตัวให้คนที่น่าจะช่วยได้เห็น และไม่รู้จะทําอย่างไรจึงโดดขวางรถ วินาทีแรกคิดว่าเขาจะพาโอมไปอยู่ด้วย แต่เปล่า เขาแค่มาขอยาแก้ปวด เน้นให้ทําบุญเป็นยาแก้ปวดให้เขาที 

จากนั้นผมจึงไปเช็กที่สถานีตํารวจ ปรากฏว่ามีอุบัติเหตุเกิดวันนั้นตอน 10 โมงเช้าจริงๆ มีคนตายตามรูปพรรณสัณฐานอย่างที่เราเห็น มอเตอร์ไซค์สีครีม หมวกกันน็อกสีครีม คนตายใส่แจ็กเก็ตหนัง เหตุเกิดสดๆ ร้อนๆ หัวค่ำวันนั้นจึงยังมีเศษกระจกอยู่ ประเด็นคือผมต้องขับผ่านถนนเส้นนั้นอีก ขอร้องว่าอย่าทําแบบนี้อีกเลย เราเกือบตายเลยนะ”

ถึงจะเป็นการขอความช่วยเหลือแต่ก็น่ากลัวเกินไปนะ

ใหญ่ ฝันดี : ตุ๊กตาผีในห้องนอน

ขึ้นชื่อว่าเป็นอีหหนึ่งคนดังที่มักจะพบเจอกับเรื่องลึกลับอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่เพียงเพราะทำงานให้กับมูลนิธิร่วมกตัญญูที่ต้องพบเจอกับคนตายอยู่ตลอด แต่ “ใหญ่ ฝันดี” มีเซนส์ด้านนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว

“ผมเห็นตั้งแต่เด็ก สักประมาณ 8-9 ขวบ อย่างเช่นเห็นคนเดินเข้าไปในกำแพง แล้วหลังจากนั้นก็อยากลอง อยากรู้ อ่านหนังสือดูว่าวิธีการเห็นผีเขาทำยังไง พองานเช็งเม้ง เขาบอกว่าให้มองลอดหว่างขาดูโต๊ะที่กินข้าวบรรพบุรุษ เราก็เห็นจริงๆ เห็นอาม่านั่งกินข้าวอยู่ พอเห็นคนแบกโรงศพจีน เราก็ก้มดูแล้วก็เห็นคนขี่โลงอยู่ อะไรอย่างนี้ ซึ่งไม่น่าจะใช่ผี แต่เป็นคนที่คุมผี แล้วหลังจากนั้นก็เห็นเรื่อยๆ จนไม่ไหว

อย่างตอนทำงานมีเคสที่เราไปช่วยตำรวจ แต่เขาเสียชีวิตบนรถเรา เสียที่ตัวเราเลย จากนั้นก็จะมีน้องมีเพื่อนทักว่า เดี๋ยวนี้ไปไหนก็มีตำรวจคอยดูแลเหรอ คือพูดคนแรกไม่เท่าไร แต่พอบ่อยเข้าเราก็เลยนึกออก ยกมือไหว้บอกว่าไม่ต้องมาตาม ไม่ต้องมาปกป้อง ให้ไปเกิดเถิด

ที่บ้านก็เจอเหมือนกัน ตอนนั้นจินนี่ (ลูกสาว) น่าจะประมาณ 2-3 ขวบ เรากับภรรยานอนอยู่บนเตียง สักพักภรรยาได้ยินเสียงเหมือนหุ่นยนต์วิ่งไปมา ลุกมาดูก็เห็นตุ๊กตาคิตตี้เดินหมุนอยู่ปลายเตียง เลยสะกิดเรา พอเรามองไปก็เห็นตุ๊กตาหันหลังให้เราอยู่ คิดว่าเห้ย มันเป็นอะไร มันช็อตหรือเปล่า แค่นั้นแหละมันก็หันหน้ามาแล้ววิ่งมาหา ชนปลายเตียง ผมเลยกระโดดเตะแตกกระจาย พอเปิดไฟดูก็คิดว่ารีโมทมันค้าง แต่รีโมทอยู่ชั้น 1 แล้วตุ๊กตาตัวนี้ก็ไม่มีถ่าน เลยเก็บเอาไปทิ้ง กลัวว่ามันจะตามลูกเรา”

ฟังเรื่องนี้แล้ว บ้านใครมีตุ๊กตาบังคับ ระวังไว้ให้ดีล่ะ

ดีเจโป้ง ณัฐพงษ์ : แค่แวะมาทักทาย

จะเป็นยังไง ถ้าเจอผีในบ้านตัวเอง งานนี้ดีเจโป้งตอบได้ดี เพราะเคยเจอมาแล้วแบบจังๆ แถมยังมาให้เห็นแบบฮาร์ดคอร์ ชนิดที่ถึงจะผ่านไปหลาย 10 ปีก็ยังจำได้ไม่มีวันลืม

“เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตอนเพิ่งย้ายเข้าบ้านหลังปัจจุบัน วันแรกที่เข้าไปอยู่ยังไม่ได้เชิญพระและทําบุญบ้านเลย คืนนั้นผมเปิดไฟหัวเตียงนอนอ่านหนังสือ สักพักก็เผลองีบหลับไป จนกระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะ ‘ฮึ ฮึ ฮึ’ เลยลืมตาตื่นขึ้นมามองหาต้นเสียง กวาดตามองทั่วห้องก็เห็นอะไรบางอย่างเป็นสีเทาขุ่นๆ ดุ๊กดิ๊กอยู่ตรงเพดานมุมห้อง พอปรับโฟกัสสายตาให้ชัดแล้วเพ่งอีกที ก็เห็นเป็นเท้าคนห้อยลงมาจากบนฝ้าเพดาน แล้วก็ค่อยๆ เลื่อนลงมาเรื่อยๆ จนเห็นเป็นชุดกระโปรงยาวสีเทา เห็นดอกไม้ กระทั่งเห็นมือเขากอดพวงหรีดอยู่ แล้วก็หยุดแค่ตรงหน้าอก

ตอนนั้นผมขยับตัวไม่ได้ เลยท่องบทสวดมนต์มงกุฎพระพุทธเจ้า 9 จบ พยายามบอกให้เขาไป แต่เขาก็ยังคงลอยอยู่ตรงนั้นพร้อมกับหัวเราะในลำคอเหมือนเดิม ก่อนจะได้ยินเสียงพูดว่า ‘ท่องก็ผิด’ ถึงตรงนี้ผมตกใจสุดขีด ตาเบิกโพลง จิตไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จะลุกหนีก็ไม่ได้ จนเขาเอียงหัวลงมา เห็นเป็นผู้หญิงผมยาวจนปิดหน้าปิดตา โผล่มาแค่ปาก ในใจผมคิดถึงแม่อย่างเดียว ขอให้พระคุณของแม่หรือสิ่งที่ปกป้องคุ้มครองบ้านหลังนี้ช่วยลูกด้วย แล้วพยายามดันตัวเองลุกขึ้นพร้อมกับตะโกนเรียก ‘แม่!!’ จนหลุดออกมาได้ สภาพทุกอย่างในห้องเหมือนเดิม ไฟทุกดวงยังคงเปิดอยู่ แต่เขาหายไปแล้ว คืนนั้นผมนอนไม่หลับเลย กระทั่งเห็นแสงอาทิตย์ขึ้นจึงค่อยนอนต่อ 

ตื่นเช้ามาแม่ถามว่า ‘เมื่อคืนเรียกฉันหรือเปล่า’ ผมตอบว่าเปล่า และไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง แต่บอกแม่ว่านิมนต์พระมาทําบุญบ้าน พรมน้ำมนต์กันดีกว่า หลังจากนั้นมาก็ไม่มีอะไรแบบนี้อีกเลย อยู่แบบร่มเย็นเป็นสุขมาก

ผมได้เล่าเหตุการณ์นี้ให้พระฟัง ท่านบอกว่านั่นไม่ใช่เจ้าที่ แต่เป็นสัมภเวสีที่เคลื่อนผ่านมา พระท่านบอกว่าไม่มีอะไรหรอกโยม เขาก็เหมือนคนขี้เล่น เจอสาวก็อยากแซว นี่เธอเจอหนุ่มนอนอยู่เลยอยากแซวบ้าง คือตอนนั้นผมอายุไม่เกิน 20 วัยยังละอ่อน ขาวตี๋ นอนถอดเสื้อด้วย ดูน่าเข้ามาทักทายอยู่ แต่ทักฮาร์ดคอร์ไปหน่อย จนทุกวันนี้เสียงหัวเราะกับคําว่า‘ท่องก็ผิด’ ยังติดหูอยู่เลย”

เรื่องของดีเจโป้งทำเอาหลอนจนไม่กล้านอนคนเดียวแล้ว ก่อนนอนคืนนี้อย่าลืมมองรอบๆ ให้ทั่วๆ กันล่ะ จะได้อุ่นใจว่าไม่มีสิ่งแปลกปลอมคนแปลกหน้าแอบอยู่ในห้องด้วย บรื๋อส์…

เข้าชม 149 ครั้ง
ดูข่าวเพิ่มเติม