ตั้งแต่ศาลมีคำสั่งและตัดสินยกคำร้อง ในกรณีที่ดาราสาว “ต่าย-ชุติมา” ยื่นฟ้องสามี “ทิม-พิธา” ในคดีคุ้มครองสวัสดิภาพความรุนแรงในครอบครัวไปเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 62 ที่ผ่านมา ล่าสุด “ต่าย” ได้ออกมาให้สัมภาษณ์อัปเดตความคืบหน้าล่าสุดวันนี้(27มิ.ย.62) ว่า ตนทำทุกอย่างตามที่ศาลกำหนด คือเราดูแลลูกวันศุกร์ถึงวันจันทร์ ที่เหลือก็เป็นของเขา ศาลให้สิทธิ์เท่ากัน คือพ่อ-แม่ คนละ 50%
.
พอถามว่าได้ขอยื่นคำร้องสิทธิ์เลี้ยงดูใหม่หรือเปล่า ดาราสาว เผยว่า เรื่องนี้ยังไม่เรียบร้อย ตอนนี้ดำเนินการตามนี้ไปก่อน ตามที่ศาลกำหนดมา คนละครึ่ง ก็สบายใจขึ้น ทุกอย่างเราก็อยากให้ลูกรับอะไรที่ดีที่สุด กระทบจิตใจเขาน้อยที่สุด ส่วนสภาพจิตใจน้องพิพิมตอนนี้ เขามีการพัฒนาการทุกอย่างดี ปกติ ความเข้าใจมีมากขึ้น อารมณ์น้องก็ตามวัย จริงๆ คนเป็นแม่ก็กังวลทุกเรื่องอยู่แล้ว แค่ยุงกัดลูกก็กังวลแล้ว แต่เรื่องปัญหาการปรับตัวที่ต้องอยู่สองบ้าน อันนี้ก็ดีขึ้น ด้วยอายุ 3 ขวบกว่า ก็เข้าใจอะไรเยอะขึ้น เข้าใจว่ากฎของสังคมตอนนี้ยังไง เราก็จะบอกตลอด ว่าตอนนี้เรามีความจำเป็นอะไร คุณพ่อทำอะไร คุณแม่ทำอะไร จะอธิบายเป็นเหตุเป็นผล น้องก็จะได้เป็นเด็กมีเหตุผล
.
ส่วนถ้าถามว่าตอนนี้ตนโอเคไหมกับการที่ลูกอยู่สองบ้าน “ต่าย” เผยว่า “จริงๆ ในอนาคตยังไงเขาก็ต้องมีทั้งพ่อทั้งแม่ ไม่เคยคิดจะให้ขาดใครคนใดคนหนึ่ง แต่ว่าจะให้อยู่ยังไงให้มีคุณภาพที่สุด แต่ ณ ปัจจุบันยังไม่ได้ถือว่าดีสำหรับน้อง เราก็หวังว่าจะคุยกันได้ ไม่ว่าจะวิธีใดวิธีหนึ่ง ยังไงก็ขอให้มีบทสรุป ถามว่าได้คุยกันบ้างมั้ย คือยังไงเราก็เป็นพ่อแม่ของลูก ต้องมีเรื่องลูกปรึกษากันบ้าง
.
พอถามว่าเวลาไปทิมไปทำงาน ตจว. ในช่วงที่เป็นสิทธิ์เลี้ยงดูของเขา ลูกอยู่กับต่ายมั้ย อันนี้เราก็เป็นห่วงเหมือนกัน แต่ว่าทำอะไรไม่ได้ คิดว่าเขาคงมอบให้คนอื่นดูแล เพราะเราไม่สามารถเข้าไปแตะอะไรตรงนั้นได้ แต่เราบอกตลอด ว่าถ้าเขาไม่ว่าง เราว่างดูตลอด ส่วนความสัมพันธ์ของเราตอนนี้ ถึงจะเลิกกันแล้ว หรือทำกันเจ็บปวดยังไง เราก็รู้สึกว่ามันคืออดีต ปัจจุบันเราก็โฟกัสในเรื่องของ ณ วันนี้ ทำให้ดีที่สุดเพื่อลูก และยอมรับว่าตอนนี้ยังไม่ได้หย่ากัน แต่มันมีการตกลงกันต่อหน้าผู้ใหญ่สองฝ่าย ตั้งแต่สิงหาคมปีที่แล้ว ว่าหยุดสถานะสามีภรรยา มันเป็นเรื่องมีรายละเอียด ไม่ใช่อยู่ดีๆ ทำอะไรได้โดยพลการ
.
สำหรับการใช้ชีวิตตอนนี้ก็ไม่ค่อยเปลี่ยนไป ดาราสาวยังกล่าวต่ออีกว่า แต่รู้สึกมีความสุขมากขึ้น เหมือนเราได้อยู่กับครอบครัวของเรา คุณพ่อคุณแม่ที่มีความอบอุ่น รู้สึกว่ามีกำลังใจในการดำเนินชีวิต มีกำลังใจในการเลี้ยงลูก พลังเราเต็ม ถ้าเรามีความสุขเราก็จะถ่ายทอดความสุข ถ่ายทอดพลังดูแลเขาได้ ถึงแม้ว่าวันที่เขางอแงที่สุด เราก็ยังสู้ดูแลลูกได้ สภาพจิตใจเราก็โอเคมานานมากแล้ว ทุกอย่างเรามองเป็นเรื่องปกติ ผ่านไปแล้ว คนอื่นจะมองยังไง เราก็ไม่เอาตรงนั้นเข้ามากระทบจิตใจ ตอนนี้ก็กลับมารับงานมากขึ้นแล้ว