“ปุ๊กกี้” รับอยากรวย-หันค้ายา 2ปีเงินหมุนสูง 10ล. ไม่พบซัดทอดดาราร่วมเอี่ยว

  จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ จับกุมแก๊งค้าและผลิตยาเสพติด ซึ่งหนึ่งในนั้น พบว่า “ปุ๊กกี้ ปริศนา” หรือ น.ส.พริสซิลลา จิวเมลลี่ อดีตนักร้องดัง และ นายชลวิทย์ คีตะตระกูล สามี อยู่ด้วย พร้อมของกลางจำนวนมาก ไปเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.62


  คืบหน้าล่าสุดวันนี้(19มิ.ย.62) พลตำรวจโทชินภัทร สารสิน ผู้บัญชาการตำรวจปราบปราบยาเสพติด เปิดเผยการสอบปากคำปุ๊กกี้ หรือ นางสาวพริสซิลลา จิวเมลลี่ และพวก จนถึงเมื่อเช้าว่า ผู้ต้องหาในคดียาเสพติด ให้ความร่วมมืออย่างดี และรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น โดยปุ๊กกี้ยังไม่ได้มีการซัดทอดไปถึงดาราหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงที่ร่วมคดียาเสพติด หากพบมีใครเกี่ยวข้องจะไม่มีละเว้น



.

     ทั้งนี้ ผู้ต้องหารับสารภาพว่า จัดหายาให้ชาวต่างชาติเป็นครั้งที่สอง มีเงินหมุนเวียนในบัญชีระยะเวลา 2 ปี ประมาณสิบล้านบาท และใช้วิธีการคล้ายคลึงกับครั้งนี้ ส่วนที่ผู้ต้องหาให้การว่ารับยาเสพติดมาจากย่านโชคชัย 4 พบเป็นเครือข่ายของชาวไทย อยู่ระหว่างการตรวจว่าเป็นเครือข่ายในพื้นที่หรือเป็นเพียงจุดนัดรับเท่านั้น เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างสอบสวนขยายผลถึงแหล่งที่มาของยาเสพติด เนื่องจากเข้าข่ายเป็นเอเย่นรายใหญ่ค้ายาเคชาวไทย และเป็นเครือข่ายค้ายาข้ามชาติ

.


     ผู้บัญชาการตำรวจปราบปราบยาเสพติด ยังเปิดเผยด้วยว่าได้สั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบและเร่งรัดคดีโดยเฉพาะประเด็นการพบสารเคมีประเภทเบกกิ้งโซดา ที่อาจเป็นสารตั้งต้นหรือส่วนผสมของยาเสพติด  

.

.

     นอกจากนี้ยังสั่งเพิ่มมาตรการเข้มงวดในการส่งตรวจสอบบริษัทที่รับขนส่งพัสดุข้ามประเทศ และขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ร่วมกันตรวจสอบลอบขนยาเสพติดออกนอกประเทศ

.

     ด้าน พลตำรวจตรีพรชัย เจริญวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เปิดเผยเพิ่มเติมว่า  ปุ๊กกี้ กับนายชลวิทย์ คีตะตระกูล สามี ให้การรับสารภาพ ว่า เป็นผู้ติดต่อกับเครือข่ายชาวไต้หวัน ก่อนจัดหายาเคตามออเดอร์ ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดตั้งแต่หันมาจำหน่ายยาเสพติด ส่วนสาเหตุที่หันมาค้ายาเสพติด “ ปุ๊กกี้ “ ให้การว่า ต้องการเงินในการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และเห็นว่าการค้ายาเสพติดได้เงินจำนวนมากและรวดเร็ว โดยครั้งนี้ได้ส่วนแบ่งจากการค้ายา กว่า 7 แสนบาท ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างขยายผลพฤติกรรมของ ปุ๊กกี้ กับสามี ว่าจำหน่ายยาเสพติดมาเป็นระยะเวลานานเท่าใดแล้ว 

.

    นอกจากนี้ยังพบหลักฐานว่ามีกลุ่มเพื่อนสนิทและบุคคลใกล้ชิด 3 – 5 คน ติดต่อและพบปะกันเป็นประจำ ตำรวจเร่งตรวจสอบความเชื่อมโยงว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ในการเสพยาเสพติดหรือร่วมกันค้ายาเสพติดหรือไม่

.

 ส่วนนายหง เจิ้น อี้ ผู้ต้องหาชาวไต้หวัน เบื้องต้นจากการสอบปากคำ รับเพียงว่าได้รับจ้างให้มาลำเลียงยาเสพติดออกนอกประเทศเท่านั้น

.

     ข้อมูลทางการสืบสวนของตำรวจปราบปรามยาเสพติด พบว่า เครือข่ายค้ายาเคชาวไต้หวัน มีเคลื่อนไหวมานานแล้ว และจะติดต่อกับเครือข่ายคนไทยในการจัดหายาเสพติดจากแหล่งผลิตสามเหลี่ยมทองคำ ก่อนส่งชาวไต้หวัน เข้ามาดำเนินการในทุกขั้นตอน เพื่อลำเลียงยาเสพติดกลับไปที่ไต้หวัน ซึ่งพบว่าขณะนี้มีความต้องการเพิ่มมากขึ้น และยาเคเมื่อถูกส่งไปถึงไต้หวันจะมีราคาสูงถึง 10 เท่า

เข้าชม 86 ครั้ง
ดูข่าวเพิ่มเติม