แพทย์ ยังไม่เจอสาเหตุ ชี้ยังไม่เคยพบผู้ป่วยเคส “น้ำตาล”

ความคืบหน้ากรณี “น้ำตาล บุตรศรัณย์” นักร้องนักแสดงวัย 28 ปีที่ป่วยกะทันหันจากเหตุเลือดออกในจมูกและปากจำนวนมาก จนทำให้หยุดหายใจ เมื่อเวลา 14.30 น. วันนี้(13 มิ.ย. 62) คณะแพทย์โรงพยาบาลศิริราช นำโดย ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล และ รศ.นพ.ปรัญญา สากิยลักษณ์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์หัวใจและทรวงอก ภาควิชาศัลยศาสตร์ ได้ร่วมกันแถลงชี้แจงถึงอาการและการรักษา “น้ำตาล บุตรศรัณย์” ที่ห้องสิรินธร อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น G โรงพยาบาลศิริราช


.

ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล เปิดเผยว่า โรงพยาบาลศิริราชได้รับการติดต่อจากโรงพยาบาลสมุทรสาคร พบผู้ป่วยอาเจียนเป็นเลือดจำนวนมากไปอุดตันทางเดินหายใจ จนหัวใจหยุดเต้น ต้องกู้สัญญาณชีพถึง 2 ครั้ง คือที่บ้าน และที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร จากนั้นโรงพยาบาลศิริราชจึงได้ส่ง รศ.นพ.ปรัญญา สากิยลักษณ์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์หัวใจและทรวงอก ภาควิชาศัลยศาสตร์ เดินทางไปที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร โดยภาวะผู้ป่วยจำเป็นจะต้องใส่เครื่องช่วยพยุงหัวใจและปอดที่โรงพยาบาลสมุทรสาครก่อนเคลื่อนย้าเพื่อลดภาวะเสี่ยงระหว่างนำย้าย จากนั้นเมื่อมาถึงได้มีการปรับเปลี่ยนยา ใช้เครื่องพยุงหัวใจและปอดต่อเนื่อง และแก้ไขความไม่สมดุลของกระแสเลือด


.

“เมื่อวานสภาพคนไข้ไม่พร้อมเคลื่อนย้ายที่จะตรวจหาอะไรเพิ่มเติม จากนั้นในช่วงค่ำอาการเริ่มดีขึ้น ไม่เห็นเลืดที่ออกในท่อทางเดินหายใจ ในเช้าวันนี้จึงได้นำคุณน้ำตาลไปเอ็กซเยรย์เพิ่มเติม ทั้งปอดและสมอง ในส่วนของสมองเราต้องการดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในสมองหรือเปล่า ปรากฎว่า เวลานี้สมองมีอาการบวมาก ไม่มีเลือดออกเหลือในสมองให้เห็น ในปอดมีการเปลี่ยนแปลงจากหัวใจหยุดเต้น แต่ยังไม่สามารถเห็นรอยโรคอะไรที่ทำให้เลือดออกชัดเจน และได้นำคุณน้ำตาลกลับเข้ามาอยู่ในห้องไอซียู ให้ยาอยู่ และกำลังแก้ไขความผิดปกติในเลือด เครื่องพยุงหัวใจและปอดทำงานได้ดี แต่ยังไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร ยังต้องเฝ้าระวัง”

.


ในส่วนการทำงานของสมอง ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ เผยว่า ยังไม่สามารถประเมินได้ คนที่หัวใจหยุดเต้น ขาดเลือดไปเลี้ยง จะทำให้สมองบวมน้ำ และเมื่อถึงจุดหนึ่งน้ำจะลดลง หากสมองยุบลงถึงจะประเมินการทำงานของสมองได้อย่างเต็มที่ และหากประเมินได้ ผ่านวิกฤติ เลือดไม่ออกอีก แพทย์จะสืบค้นต่อไปว่าอะไรเป็นจุดที่ทำให้เลือดออก ตอนนี้หากทำจะได้ไม่เท่ากับเสีย เพราะชีพจร และหัวใจเพิ่งฟื้นกลับมา หวังปอดกลับมาทำงาน ไม่อยากให้คาดการณ์ทางบวกมากเกินไป แต่ก็ไม่อยากให้มองลบ

.

เมื่อถามถึงภาวะการเกิดโรคลักษณะนี้ ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า โอกาสเจอน้อยมาก ไม่อยากให้สังคมตื่นตระหนก หากจะพูดตรงๆ ถูกรางวัลที่ 1 อาจจะง่ายกว่า กรณีเส้นเลือดเปราะบางพบได้ทั่วไป แต่เคสนี้ไม่รู้ตำแหน่ง อาจจะเป็นหลอดเลือดที่ผิดปกติมาแต่กำเนิดก็เป็นได้ ซึ่งถ้าไปแตกอยู่ติดกับอวัยวะที่แข็งก็จะไม่เป็นไร เช่น ใกล้ตับ แต่เผอิญเคสนี้ไปอยู่ในท่อหลอดลมที่ไม่มีอะไรรองรับ

.

ส่วนที่กระแสในสังคมโซเชียลวิเคราะห์สงสัยว่าเป็นโรคไข้เลือดออกหรือไม่ ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่น่าจะเป็นได้ เพราะได้มีการตรวจเกร็ดเลือดจากโรงพยาบาลสมุทรสาคร พบว่าเกร็ดเลือดไม่ต่ำ เพราะหากเป็นไข้เลือดออกอาการต้องสัมพันธ์กัน และจะไม่ออกเพียงจุดเดียว  และยังไม่สามารถบอกได้ว่าโรคของน้ำตาลคือโรคอะไร เพราะจะบอกได้ต่อเมื่อรู้ตำแหน่งของเลือดที่ออกว่าอยู่อวัยวะไหน และสัมพันธ์กับโรคใดได้บ้าง

.

ด้าน รศ.นพ.ปรัญญา สากิยลักษณ์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์หัวใจและทรวงอก ภาควิชาศัลยศาสตร์ กล่าวว่า กรณีน้ำตาลการหยุดหายใจมาจากเลือดไหลไปอุดตันปอด เครื่องที่ใช้จึงใช้พยุงปอดอย่างเดียว ส่วนหัวใจใช้วิธีกระตุ้นด้วยนา ถามว่าเคยเจอเคสแบบนี้หรือไม่ ยังไม่เคยเจอ พบเพียงไอเป็นเลือด อาเจียนเป็นเลือดมากๆ แต่เลือดออกและไปอุดหลอดลมทั้งสองข้าง จนต้องใส่เครื่องพยุงแบบนี้ไม่เคยเจอมาก่อน ส่วนไม่เคยแล้วจะรักษายากหรือไม่ อาจจะไม่ยากก็ได้ เพียงแต่ยังไม่เจอจุดที่เกิด เพราะไม่ใช่จุดที่พบบ่อยในคนไข้ทั่วไป 

.

ในเรื่องที่มีอาการปอดแตกนั้น รศ.นพ.ปรัญญา กล่าวว่า พบลมรั่วอยู่ในปอดด้านขวา คาดว่าอาจจะเกิดจากใส่ท่อหายใจ และผู้ป่วยมีความดันในเลือดสูงภาวะจึงเหมือนลูกโป่งแตก ซึ่งพบไม่บ่อย อาการนี้ไม่รุนแรงอะไรเมื่อใส่ท่อระบายมลมก็เรียบร้อยดี สำหรับเรื่องการหยุดหายใจไม่ใช่การหยุดหายใจ 30 นาที แต่เป็นการใช้เวลากู้สัญญาณชีพด้วยการปั๊มรวมเป็นเวลา 30 นาที ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่าอ็อกซิเจ่นเข้าไปในระหวางนั้นได้มากน้อยเพียงใด โดยตั้งแต่เกิดเหตุชื่นชมคุณแม่ที่มีสติและปฐมพยาบาลได้อย่างถูกต้องตามขั้นตอน.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน

เข้าชม 45 ครั้ง
ดูข่าวเพิ่มเติม