“หนูเล็ก” เศร้า! เล่าเรื่องขนลุกก่อน “พ่อ” เสีย ได้กลิ่น “ธูป-หมาก” เต็มบ้าน

เรียกว่าเพิ่งผ่านเรื่องเศร้ากับการสูญเสีย “คุณพ่อ” ด้วยโรคมะเร็งสมอง ไปเมื่อวันที่ 4 ก.ย. ที่ผ่านมา สำหรับ “หนูเล็ก ก่อนบ่าย” หรือ ภัทรวดี ปิ่นทอง ล่าสุดได้เจอตัวหนูเล็ก ในงาน  “Garden me and you grand” ณ แฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 สยามพารากอน หนูเล็ก ได้ออกมาเล่าเหตุการณ์ทั้งหมด ให้ฟังว่า 


.

“เริ่มแรกหนูต้องขอโทษแฟนๆ และสื่อมวลชนก่อน ที่ไม่ได้บอกว่าพ่อเป็นอะไร คือไปตรวจเจอก้อนเนื้อที่สมอง เพราะพ่อปวดหัว คุณหมอเลยหาสาเหตุว่ามาจากไหน ซึ่งสาเหตุมาจากการติดเชื้อมะเร็งจากปอดและตับจนลามขึ้นสมอง  ซึ่งมันมากกว่าระยะสุดท้าย รักษายังไงมันก็ไม่หาย พอรู้ปุ๊บก็จะทำคีโม แต่ทำไม่ได้สักอย่าง ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะว่าพ่ออ่ยุ 80 ปี แล้ว เราเลยตัดสินใจรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ คือให้พ่ออยู่กับโรคนี้ได้ ซึ่งพ่อบอกว่า รับได้นะ จนพ่ออยู่มาได้ 6 เดือนเกือบ 7 เดือน เรียกว่ามีเวลาให้เราได้ทำใจได้นาน จนหนูก็เข้มแข็ง เพราะว่าพ่อสู้ เราเลยต้องสู้ ตอนแรกหนูเป็นคนแรกที่ไปฟังผลมาจากคุณหมอ ซึ่งพอผลออกมา หนูอ่านไม่ออกเลย เพราะว่าผลเป็นภาษาอังกฤษ (หัวเราะ) ซึ่งหนูไปขออนุญาตดูผลจากหมอก่อน หนูจะได้ทำใจได้ เพราะหนูเป็นคนที่รักพ่อมาก และดูแลพ่อมาตั้งแต่เริ่ม พอเอาผลมาปุ๊บ หนูอ่านไม่ออกเลยส่งไปให้พี่มิค (บรมวุฒิ หิรัณยัษฐิติ) ซึ่งมีน้องเป็นคุณหมอดูให้ แล้วพี่มิคบอกว่า อาจจะเป็นมะเร็งนะหนูเล็ก ตอนที่รู้ผลหนูร้องไห้เกือบครึ่งชั่วโมง และไม่กล้าไปบอกพ่อ จนในที่สุดตัดสินใจขึ้นไปบอกพ่อ ตอนนั้นเราไม่ได้ร้องไห้ บอกพ่อแค่ว่า พ่อต้องสู้ ต้องอดทน และพ่อก็ฉลาด พ่อรู้เองว่าเป็นอะไร แต่อาการที่พ่อเป็นคือติดเชื้อในปอด และติดเชื้อในกระแสเลือดค่ะ หมอบอกว่ามันทำอะไรไมได้เลย ให้ยาฆ่าเชื้อเป็น 20 ขวด ก็ไม่หาย จนพ่อให้ทำสัญญาไว้เลยว่า ห้ามช่วยเหลือชีวิต ห้ามใส่สายยาง ห้ามเจาะคอ เราเคารพในสิ่งที่พ่อตัดสินใจ และพาพ่อกลับบ้านตามที่พ่อต้องการ และพอกลับมาบ้านปุ๊บเวลาประมาณเที่ยงคืนห้าสิบนาที พ่อหายใจแรง ชีพจรลดลง และพ่อก็จากไป ซึ่งพ่อเสียชีวิตที่บ้าน ตามที่พ่อต้องการ” 


.

นอกจากนี้หนูเล็กยังบอกอีกว่า ก่อนที่พ่อจะเสียประมาณ 2 วัน ตนอยู่กับพ่อตลอด  “ก่อนหน้าที่พ่อจะเสีย 2 วัน หนูอยู่กับพ่อ หนูเล็กถามพ่อว่า พ่อกลัวตายมั้ย พ่อบอกว่าไม่กลัว หนูถามพ่อต่อว่า แล้วพ่ออยากจะอยู่ต่อมั้ย พ่อบอกว่า ไม่อยากอยู่แล้ว พ่อสั่งเสียเอาไว้ และบอกกับพยาบาลว่า หนูเป็นสิ่งที่เขาภูมิใจมากที่สุดในชีวิต ซึ่งวันที่พ่อเสียหนูไมได้อยู่ด้วย แต่ตอนที่พยาบาลบอกคำสั่งเสียของพ่อ หนูน้ำตาไหลเลย มันตื้นตันใจ และภูมิใจมาก  เพราะสิ่งที่เราทำ เราไม่ได้หวังอะไร เราแค่อยากทำให้พ่อแม่สบาย ซึ่งหนูไปดูใจพ่อไม่ทัน แต่หนูได้บอกพ่อเอาไว้แล้วว่า อยากดูแลพ่อให้ดีที่สุดก่อน  คิดในใจว่าพ่อคงเจ็บปวดและทรมาณมาก พ่อบอกเสมอว่า คอยอยู่ใกล้ๆ เขานะ อย่าไปไหน (พูดภาษาใต้) เพราะพ่อกลัวว่าหมอจะช่วยชีวิตเขา  พอพ่อบอกแบบนั้น เราต้องตามใจพ่อ เพราะปกติพ่อเป็นคนฉลาด และเขาเตรียมตัวเตรียมใจตัวเองเอาไว้ คือพ่อสู้มาก เพื่ออยากให้เราทำใจ ตอนนี้หนูห่วงแค่แม่  เพราะก่อนหน้านี้เขาเครียดที่เห็นพ่อป่วย ช่วงนี้ตอนกลางวัน แม่จะทำใจได้ ทำงานได้ แต่พอตกกลางคืน แม่จะร้องไห้ เพราะกลั้นไว้ไม่อยู่ หนูเล็กก็คิดถึงเวลาที่เราหยอกล้อกัน เวลาที่ป้อนข้าวให้พ่อ (เสียงเครือ) ก่อนที่พ่อจะสิ้น หนูทำงานถ่ายละครอยู่ แต่แฟนอยู่ที่บ้าน ซึ่งแฟนไม่กล้าโทรมาบอก ว่าตอนประมาณบ่าย 2 โมง มีทั้งกลิ่นธูป และกลิ่นหมากเต็มไปหมดเลย ในบ้านของหนู และตอนประมาณบ่าย 4 โมง พี่ชายโทรศัพท์มาบอกว่า พ่อไม่ไหวแล้วนะ หนูเลยบอกว่า พาพ่อกลับบ้านเลย  เราก็เลยคิดว่าสิ่งที่แฟนเจอต้องใช่พ่อแน่ๆ มันเหมือนเป็นลางบอกว่า พ่อไม่อยู่แล้ว ในปีหน้าหนูบอกกับแม่แล้วว่า จะดูแลแม่อย่างดี ดูแลให้ดีที่สุด เอาใจใส่ให้มากที่สุด จะดูแลแม่เหมือนเด็กคนหนึ่ง”. – ไนน์เอ็นเตอร์เทน           

เข้าชม 528 ครั้ง


ดูข่าวเพิ่มเติม