
นักร้องนักแสดงมากฝีมือ อ่ำ อัมรินทร์ นิติพน เผยเรื่องราวชีวิตหลากหลายมิติผ่าน LIFE DOT โดยพิธีกรคนเก่ง ก้อง อรรฆรัตน์ นิติพน เริ่มต้นจากนักกีฬาดาวรุ่งสู่เด็กใจแตก หนีเที่ยวออกเที่ยว ใช้ชีวิตเหลวแหลก กลายเป็นศิลปินดัง ชีวิตหลงระเริงไปกับชื่อเสียง ใช้ชีวิตตามใจตัวเอง ทิ้งงานแทบหมดอนาคต ใช้เหล้าสู้ความผิดหวัง ตรอมใจจนร่างพังเกือบลาโลก! ก่อนพบสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้มีลมหายใจต่อ

โดย อ่ำ เล่าว่า ช่วงวัยเรียนสิ่งที่จำได้ที่รู้สึกว่าดีจังเลย คือการได้เล่นกีฬา เราน่าจะเป็นคนที่มีความสามารถทางด้านกีฬาหลากหลาย ได้เป็นนักกลอฟ์เยาวชนทีมชาติไทย ถือเป็นโมเมนต์ที่น่าจดจำ เป็นความภูมิใจใตตัวเองในวัย 11 ปี แต่เริ่มโตขึ้น อายุ 15 ปีเข้าสู่เจริญพันธุ์ (หัวเราะ) ใจแตก คุณพ่อฝากเงินไว้ให้ทุกอาทิตย์ จะให้เงินมาก้อนหนึ่งแล้วแบ่งครึ่งหนึ่งฝากธนาคารไว้ตั้งแต่อยู่ ม.1 แล้ว พอ ม.3 มันก็จะมียอดอยู่ประมาณหนึ่ง ตอนนั้นเราก็เที่ยวแล้วก็ใช้เงินประจําอาทิตย์ไม่พอ อยากเที่ยวเตลิดเปิดเปิงแบบไม่ต้องเรียน ไปเล่นสเก็ต ไปเที่ยวดิสโก้เทคกลางคืน เราก็ไปปิดบัญชีเด็กชายอัมรินทร์ นิติพน ตอนนั้นน่าจะมีเงินอยู่ประมาณ 80,000 บาท ปิดบัญชีไม่พอเอาไม้กอล์ฟตัวเอง ซึ่งถือได้ว่าเป็นอาวุธประจํากายในการใช้ในการแข่งขันไปขาย เพื่อไปเที่ยวระเริง ท่องราตรี ถามว่ามันสนุกขนาดไหนถึงต้องทํา ตอนนั้นชีวิตแสงสีกับเด็กเพิ่งโตมา มันเป็นอะไรที่ใหม่มาก คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เราก็บอกว่าเรานอนบ้านแม่นะคืนนี้ แต่กลางคืนก็ไม่กลับ เราก็ไปเที่ยวไหนต่อไหน เป็นช่วงชีวิตที่เริ่มเหลวแหลก ไปเที่ยว ไม่เข้าเรียนเทอมหนึ่งเลยทําให้ไม่จบ ม.6 พร้อมเพื่อน เพื่อนไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันหมดแล้ว เราต้องไปเรียน ม.4 เทอม 1 ใหม่ พอเริ่มต้นฤดูการศึกษาใหม่แล้วก็ไป สมัครเรียนที่ ม.เกษมบัณฑิต แล้วก็ไม่ชื่นชอบในการศึกษาเหมือนเดิมก็ไปนั่งอยู่กับพวกก่อสร้าง ไปนั่งดื่ม เพื่อนเรียนวิศวะก็ไปนั่งกับพวกวิศวะ ทั้ง ๆ ที่เราเรียนนิเทศฯ พอสอบผลสอบมาก็คือตกหมด
ส่วนส้นทางการเป็นนักร้อง มันเริ่มมาจากคุณพ่อเป็นนักดนตรีของกรมตํารวจ ท่านก็สอนให้เราเล่นดนตรี เราเองก็มีความชื่นชอบในด้านของการดนตรีอยู่แล้ว พออายุ 18 มันมีวงไมโคร มีอัสนี ออกมา เราก็บอกทําไมมันเท่อย่างนี้ เราอยากเป็นอย่างไมโคร อยากเป็นอย่างพี่หนุ่ยจังเลย พอดีพี่ข้างบ้านเขามีวงดนตรีแล้วขาดนักร้องนํา เขามาชวนเราก็ไปอยู่เขา ชื่อวงรามเกียรติ์ พยายามที่จะมีผลงาน มีเดโมเทป มีถ่ายภาพไปเสนอตามค่ายต่าง ๆ โมเมนต์ที่เทปวางแผง ดีใจมาก ได้เจอพี่เต๋อ เรวัต เข้าไปเซ็นสัญญา เราได้คําแนะนําจากพี่เต๋อ เราได้เจอปูชนียบุคคลในวงการเพลงของแกรมมี่หลายคน เราเจอวงไมโครตัวเป็น ๆ จนอายุ 25 ก็มีผลงานตัวเองแล้วก็ใช้ชีวิต ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของชีวิต ถึงแม้ว่าในช่วงนั้นยอดขายมันไม่ได้ดีตามที่แกรมมี่เขาตั้งไว้ ก็มีดาวน์ ๆ อยู่บ้าง กระทั่งได้ไปทัวร์คอนเสิร์ตและขึ้นร้องเพลงกับ Y NOT 7 ที่ตอนนั้นกำลังดังมาก ค่ายก็เห็ยว่าเราน่าให้โอกาสก็ไปเปลี่ยนรูปแบบของเพลง ให้มาอยู่ในแนวร็อก ซึ่งอัลบั้มมันอาจจะเป็นป๊อบ ๆ กรุ๊งกริ๊งไปหน่อย สรุปก็ได้ไปต่อ รวม ๆ แล้วมีอัลบัมทั้งหมด 11 อัลบัม รวมเพลงประกอบละครด้วย ช่วงนั้นชีวิตได้เจออะไรดี ๆ เยอะมาก


แต่ก็มีจุดที่แย่ที่ควรปรับปรุงคือพฤติกรรมตัวเอง หลังจากที่ได้ประสบความสําเร็จ ความหลงระเริงมันมา อยากทําอะไร เริ่มตามใจตัวเองมากขึ้น ใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่ายมากในการดื่ม ไปทัวร์คอนเสิร์ตเราดื่มกันอยู่แล้วร็อกแอนด์โรล กลับบ้านแล้วก็ยังเป็นร็อกแอนด์โรลอยู่ ดื่มเสร็จเริ่มไปทํางานไม่ไหว เริ่มเบี้ยวงาน ไปกอง MV ไม่ทัน ไม่รับผิดชอบหน้าที่ ตอนนั้นอัลบั้มชุดนิราศร็อกออกใหม่ ๆ พี่ฉอด สายทิพย์ จัดคอนเสิร์ตที่สยามสแควร์ แต่ผมก็ดื่มกินตามประสา กินจนเลยกำหนดที่จะต้องไปงาน ไม่ไหวอีกแล้ว ก็มีโทรศัพท์โทรตามจากค่ายแกรมมี่ว่าให้ไปงานเดี๋ยวนี้ วงไปรอแล้ว เราไม่เอานอนดีกว่า แล้วก็มีคนใช้มาปลุกอยู่ตลอดเวลาว่าให้ไปรับโทรศัพท์ สุดท้าย พี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค โทรมาบอกว่าให้ไปงานพี่ฉอดที่สยามด้วยครับ ถ้าไม่ไปก็จะงดการโปรโมตอัลบั้มชุดนี้ และไม่มีผลงานอีกต่อไป เราจะจบสิ้นกันแต่เพียงแค่นี้ ก็อาบน้ำอาบท่าแต่งตัวไปขึ้นรถไฟฟ้าไปถึงที่สยาม ลงรถไฟฟ้าขึ้นเวที ร้องเพลงแล้วก็จบงาน แล้วก็กลับมา มีหมายให้เข้าตึก แล้วก็เข้าไปขอโทษพี่ฉอด ผมขอโทษพี่ฉอดหลายครั้งแล้ว ครั้งนั้นก็น่าจะเป็นช่วงที่ตกต่ำสุด ในการใช้ชีวิตหลงระเริง ไม่รับผิดชอบ
ชีวิตมันก็ลุ่ม ๆ ดอนๆ ในการใช้ชีวิต มันก็ถือว่าเปื่อยเต็มที่แล้ว แล้วก็มีความรู้สึกอยากจะมีครอบครัวก็เลยแต่งงาน อายุ 33 ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก มันเริ่มมาจากคุณพ่อเห็นเราแบบไม่ไหว มีรายได้แต่สุรุ่ยสุร่าย ให้ปลูกบ้านให้มีบ้าน ให้มีที่อยู่ ให้มีครอบครัว ก็เลยตัดสินใจแต่งงาน มันเป็นเรื่องของลิขิตว่าเราต้องเจอคนนี้ เพื่อเราจะได้มีชีวิตเป็นแบบนี้ มันอาจจะมีดีมาก อาจจะมีไม่ดี แต่สุดท้ายถ้าไม่มีคนนี้ชีวิตเราจะเป็นวันนี้หรือเปล่า แล้วยิ่งมีลูกมันก็คือแบบที่สุด การที่ได้เห็นหน้าลูก น้องแอลลี่มองหน้าเด็กคนนั้นแล้วแบบว่าเราจะดูแลเขายังไง จะต้องดูแลยังไงให้เขามีชีวิตอยู่ที่ดีได้ จะต้องทํายังไง ตั้งแต่มีแอลลี่มาชีวิตเราก็เป็นปกติ ไม่ดื่ม ไม่ได้ปาร์ตี้หามรุ่งหามค่ำ มันไม่ได้เป็นแบบนั้นอีกแล้ว
พออายุ 47 ปี สุขภาพแย่มาก มีความเครียดสะสมในเรื่องของงาน กลับมาดื่มกินหนักขึ้น เริ่มปวดข้อมือ เริ่มใช้การมือไม่ได้ เดินไม่ได้ ตัวเริ่มแข็ง นอนเหยียดตึง อยู่แต่ในบ้านอย่างเดียว มือบวมหนักมาก ต้องเอาผ้าพันแผลมาพันไว้ ไม่ให้คนเห็นมือตัวเองที่เป่งและกําไม่ได้ สรุปแล้วมันคือโรครูมาตอยด์ โรคกระดูกอักเสบรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุ คือภูมิแพ้ตัวเอง เริ่มขายของ ขายทรัพย์สมบัติอะไรของตัวเองที่มีจนหมด เป็นอยู่ 3 ปี หนักมาก ใช้ชีวิตอยู่ไปวัน ๆ ความหวังมันไม่มีเลย ริบหรี่มาก เคยคิดว่ามันถึงเวลาที่มันคงต้องไป เพราะทําอะไรไม่ได้แล้ว เป็นซากแล้ว ตรอมใจ พูดกับตัวเองแล้วก็ร้องไห้อยู่ในกระจก แต่ความสงสารตัวเอง ครอบครัวที่เขารอให้เรากลับมา ก็พยายามจะเเข็งใจ เริ่มเปลี่ยนชีวิตใหม่ หาจุดยึดเหนี่ยว มีความศรัทธาหลาย ๆ อย่าง เลื่อมใสในพุทธศาสนา บวชถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 เริ่มปฏิบัติตัวดี ยึดมั่นในศีล ผิดหวัง สมหวัง มันเป็นชั่วขณะ สุดท้ายคือที่รอดตายมาได้ก็สติ มองภาพใหญ่กรอบของชีวิตว่า ได้เห็นว่าวันที่เราขึ้น วันที่เราลง วันที่เราสุข วันที่เราติดลบ อะไรก็แล้วแต่ มันเกิดขึ้นกับตัวเรา ผ่านมาได้เพราะตัวเรา-ไนน์เอ็นเตอร์เทน

