จากกรณีนักร้องดัง ติ๊ก ชิโร่ หรือ นายศิริศักดิ์ นันทเสน วัย 63 ปี ขับรถตู้ชนรถจักรยานยนต์ บนสะพานสุขาภิบาล 5 ในช่วงเวลา 04.00 น. ของวันที่ 10 ต.ค. 2567 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้คู่กรณี นางสาวเทียนพร ศิวพรพิทักษ์ หรือเมจิ อายุ 28 ปีเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ และนายจักรภัทร ศิวพรพิทักษ์ หรือ จูเนียร์ อายุ 21 ปี น้องชายได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา หลังรักษาตัวมานานกว่า 3 เดือน ครอบครัวนำร่างไปประกอบพิธีทางศาสนาและฌาปนกิจที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน
ล่าสุดเมื่อช่วงสายวันนี้(23 ม.ค.68) ที่สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย ติ๊ก ชิโร่ พร้อมด้วย เอ๋ น้องสาวของ อ้อ พรรทิรา นันทเสน ภรรยาของติ๊ก และทนายความ ตั้งโต๊ะแถลงชี้แจงความจริง โดย ติ๊ก เผยว่า แถลงข่าวครั้งนี้คือการชี้แจงความจริง ไม่ใช่การแก้ข่าวหรือแก้ตัว ทุกคนทราบดีว่าครั้งนี้เป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เราทั้ง 2 ครอบครัวรู้สึกสูญเสียอย่างมาก ทั้งร่างกายและจิตใต ถ้าเลือกได้ ขอได้ คงไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นมา แต่ในเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราต้องยอมรับความจริง และหาทางแก้ไขเยียวยาให้ทั้ง 2 ครอบครัวให้ดำรงชีวิตและก้าวเดินต่อไปได้ ครั้งนี้เป็นการสูญเสียอย่างมาในอายุเท่านี้ หน้าตาผมอาจจะดูเหมือนคนแข็งแรง แต่จิตใจผมแตกสลายยุ่ยเป็นผุยผง ย่อยยับมากครับ เวลาผมอยู่กับตัวเองมันน่ากลัวมาก พอได้เจอเรื่องนี้ชีวิตผมเหมือนตายทั้งเป็น จุกอก ไปไม่เป็น ขอบคุณครอบครัวของน้อง ๆ ทั้ง 2 คนเวลาได้เจอกัน ต่างคนต่างพูดคุยกันในมุมที่ดี มีเหตุและผล ในหัวใจของผมเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ อยากจะเยียวยาทุกรูปแบบเท่าที่จะเป็นไปได้ เจอกันก็พูดคุยกันดสติสัมปชัญญะและหัวใจแห่งความหวังดี
ผมเป็นนักแต่งเพลงและได้แต่งเพลงให้น้อง ผมขอมอบเพลงนี้ให้ครอบครัวและรายได้ทุกบาทนำไปเยียวยาน้องเมจิและน้องจูเนียร์อีกช่องทางครับ วันนี้ไม่ต้องการที่จะพูดจาเพื่อฟื้นสิ่งต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นมา เพื่อเสียดแทงความรู้สึก แต่พูดเพื่อบอกว่าผมทำตัวยังไงบ้าง ผมยังไม่ทราบเลยว่าจะเสียชีวิตเมื่อไหร่ แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ผมพูดเสมอว่าผมเป็นสุภาพบุรุษและช่วยเหลือคนอื่นมาตลอด ในระหว่างที่ น้องจูเนียร์ รักษาตัว มีช่วงหนึ่งที่น้องกลับมารักษาตัวต่อที่บ้าน แต่คุณพ่อบอกที่บ้านไม่ได้มีห้องสำหรับน้อง จึงเอาน้องไปรักษาตัวที่ศูนย์พักพิงรามอินทรา มีค่าใช้จ่ายเดือนละ 5 หมื่นบาททุกเดือน เดือนแรกผมจ่ายไป 5 หมื่น เดือนที่ 2 จ่ายไป 1 แสนบาท สำหรับเงินรายได้ของผมตอนนี้ ส่วนมากมาจากคอนเสิร์ตเหมือนเดิม เรื่องของเพลงในปัจจุบันค่อยข้างยากมากจริง ๆ ผมได้มีโอกาสนำเพลงออกมานำเสนอ แต่อาจจะเป็นเพราะแฟนเพลงเราอาจจะไม่ได้ใช้โซเชียลเป็นหลัก ในยุคเทป ยุคซีดี เรามีรายได้จากตรงนั้น ฉะนั้นผมไม่สามารถจะหยุดทำงานได้ เพราะไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีรายได้เข้ามา เดือน ก.พ. ผมจะปล่อยเพลง เราต้องยอมรับว่ายุคนี้เราไม่สามารถจะทำเงินได้เหมือนสมัยก่อน
ถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกระทบกับงาน โดนแคนเซิลงานบ้างมั้ย? นักร้องดัง เผยว่า “ตอนนี้ไปที่ไหนทำตัวสนุกสนานเฮฮาไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นที่ครหาของสังคม การไปงานที่ไหนก็จะกลายเป็นจุดจุดหนึ่้งที่เราต้องระวัง ผมเคยหยุดทุกอย่างเพื่อจะเยียวยา แต่กลายเป็นว่าไม่ได้เลย มันจะกลายเป็นซึมเศร้าเอา หัวใจแตกสลาย ความรู้สึกเหมือนซากปรักหักพัง ผู้สื่อข่าวถามว่าถึงประเด็นที่คนรู้สึกผิดหวัง เพราะติ๊ก ชิโร่ เป็นศิลปิน ถือเป็นแบบอย่างให้กับหลายคน แต่กลับเมาแล้วขับ? ติ๊ก ชิโร่ ตอบกลับประเด็นนี้ว่า จริง ๆ แล้วผมระมัดระวังเรื่องกฎจราจร เวลาจูงหมาไปเดินหรือปั่นจักรยานก็จะใส่หมวกกันน็อคตลอด เวลาเจอน้อง ๆ วัยรุ่นขี่มอเตอร์ไซค์แล้วไม่ใส่หมวกกันน็อตก็จะไปเตือนเขาว่าชีวิตมีค่า ในเบื้องลึกของผมมีความเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นเสมอ เรื่องราวที่เกิดขึ้น บางครั้งผมก็ถอดหัวใจไปสู้ ไม่ว่าจะเป็นคนเจ็บป่วย ยอมรับว่าเคยใช้บริการต่าง ๆ ขับรถให้ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของผมที่เกิดอุบุติเหตุร้ายแล้วขนาดนี้ เคยช่วยคนอื่นไว้เยอะ พอมาเจอกับตัวเอง ไม่ได้ขอให้สังคมให้อภัยผมครับ
ด้าน เอ๋ น้องสาวของ อ้อ พรรทิรา ซึ่งเป็นตัวแทนของ ติ๊ก ในการเจรจากับทางคู่กรณีทุกครั้ง โดย เอ๋ เผยว่า “คุณพ่อของน้องบอกว่าพี่ติ๊กไม่เคยไป แต่จริง ๆ ทุกครั้งที่ไปเจอกัน เราไม่ได้เจอกันแค่ที่โรงพัก แต่มีการไปเจอกันนอกสถานที่ รวมถึงบ้านที่พี่ติ๊กด้วย เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าเราดูแลน้องที่เสียชีวิตและน้องที่เจ็บก่อนที่เขาจะเสียชีวิตอย่างไรบ้าง อุบัติเหตุครั้งนี้พี่ติ๊กได้ให้ข้อมูลกับตำรวจไปหมดแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นมา โดยใช้กล้องวงจรปิดหน้ารถในวันที่เกิดเหตุส่งให้ตำรวจ แต่ที่เรายื่นหนังสือเรียกร้องความเป็นธรรมตามที่เป็นข่าว ทางเราเรียกให้สอบพยานเพิ่มเติมในที่เกิดเหตุ และนำกล้องวงจรปิดเข้าไปสู่กระบวนการดำเนินคดี รายละเอียดพี่ติ๊กให้การกับตำรวจตั้งแต่วันแรกและไม่เคยเปลี่ยนคำให้การเลย รายละเอียดและผลทางคดีให้เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้พนักงานอัยการหรือศาลเป็นคนชี้ขาด ขบวนการตรงนี้ขอให้เป็นขั้นตอนของศาลไป ในเรื่องของการเจรจาความเสียหาย วันแรกที่เกิดเหตุพี่ติ๊กบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาล เอ๋ไปประสานงานให้ตั้งแต่ชั้นโรงพัก วันแรกมีน้องเสียชีวิต 1 คน เลยแจ้งกับพี่อ้อ พี่สาวว่าเราจ้องจ่ายให้น้องสักก้อน เราจ่ายไป 1 แสนบาท พอพี่ติ๊กออกจาก รพ.ได้ เราก็ไปรดน้ำและร่วมฟังสวดทุกวัน พอสวดเสร็จ เผาเสร็จ เราก็มีการจ่ายค่าใช้จ่ายให้วัด 75,530 บาท หลังเสร็จงานศพพ่อของน้องนัดพี่ติ๊กกับพี่อ้อเพื่อไปเจรจาค่าเสียหาย ณ ร้านกาแฟแห่งหนึ่งวันที่ 22 ต.ค.67 วันนั้นมีคุณอาอภิรักษ์เป็นตัวกลางให้ความข้อคิดเห็นทั้ง 2 ฝ่าย อันนี้คือการอธิบายว่าเราได้มีการเจรจากันนอกเหนือจากชั้นโรงพัก วันนั้นยังหาข้อยุติกันไม่ได้ เพราะน้องผู้บาดเจ็บยังอยู่ในไอซียู ซึ่ง ณ วันนั้นไม่รู้ว่าน้องจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงวันไหน เลยยังไม่สามรถพูดคุยกันในเรื่องตัวเลขค่าเสียหายได้ เราหวังให้น้องมีชีวิตรอด รักษาตัวเต็มที่จนหาย หลังจากวันนั้นพ่อของน้องและพี่ติ๊กแลกไลน์เพื่อสอบถามข่าวซึ่งกันตลอดมา พี่ติ๊กอยากให้ทั้ง 2 ครอบครัวคุยกันอย่างเปิดอก เข้าใจและเห็นอกเห็นใจกัน เลยเปิดบ้านให้คุณพ่อและญาติของน้องเข้ามาที่บ้านเพื่อพูดคุยกัน วันนั้นคุณพ่อเข้ามาที่บ้าน เสมอมา 9 ล้าน แต่ไม่ได้พูดชักว่าทั้ง 2 คน หรือคนใดคนหนึ่งหรือทั้ง 2 คน ด้วยความที่มันเพิ่งเกิดเหตุไม่กี่วัน พี่ติ๊กก็เลยเอามาปรึกษาครอบครัวว่าเราจะหาทางเยียวยาให้คุณพ่อได้มั้ย วันนั้นยังไม่ได้ตกลงชัดเจนว่าตัวเลขเท่าไหร่ ตอนนั้นพี่ติ๊กและคุณพ่อต่างก็กังวลใจอาการน้องจูเนียร์ พี่ติ๊กมีการสอบถามอาการ รวมถึงเข้าไปเยี่ยมและซื้อของใช้ที่จำเป็นที่น้องต้องใช้ในโรงพยาบาลให้ตลอด จากนั้นวันที่ 29 ต.ค.67 นัดหมาย ตร. สน.คันนายาว พี่ติ๊กให้พี่อ้อกับเอ๋เข้าไปเจรจา เพราะพี่ติ๊กบาดเจ็บและรักษาตัวอยู่ ก่อนหน้านั้นเอ๋ได้ประสานกับทางบริษัทประกันว่าเบื้องต้นประกันจะจ่ายอะไรให้ทางผู้เสียหายได้ก่อนบ้าง ในส่วนของประกันภาคบังคับ ในระหว่างที่ผลคดียังไม่ยุติว่าใครเป็นฝ่ายผิดฝ่ายถูก ตำรวจยังไม่ได้ชี้ เบื้องต้นประกันแจ้งกลับมาว่าในเมื่อยังหาข้อยุคติกันไม่ได้ก็ยังไม่อยากให้จ่ายส่วนนี้ แต่เอ๋ยืนยันกับทางประกันว่าเรายินดีให้ประกันจ่ายไปก่อนเลย พี่ติ๊กเองยินดีที่จะรับผิดชอบหากวันข้างหน้าผลคดีมีการชี้ขาด จ่ายไปแล้วก็จ่ายไปเลย ไม่ได้หวังว่าจะเรียกคืน ในเมื่อเยียวยาได้ก็เยียวยาไปก่อน ประกันก็บอกว่าในเมื่อพี่ติ๊กเซ็นยินยอมให้ประกันจ่าย ประกันจ่ายให้ ณ วันนั้น 500,000 บาท และได้ลงบันทึกประจำวันไว้ นั่นคือการเจรจาครั้งแรก หลังประกันจ่ายไปแล้ว เอ๋คุยกับทางประกันภัยรถยนต์คันที่พี่ติ๊กทำประกันพาร์ทสมัครใจ เรามีวงเงินสูงสุดสำหรับคนเจ็บหรือคนเสียชีวิตคนละ 1,000,000 ล้าน และในส่วนของภาคบังคับอีก หากฝ่ายเราเป็นฝ่ายผิดอีกก็จะจ่ายเพิ่ม 5 แสน รวมกันก็ประมาณ 3 ล้าน นี่คือเบื้องต้นในส่วนของประกัน ไม่รวมในส่วนที่พี่ติ๊กต้องการจะเยียวยาเพิ่มเติม แต่ด้วยความที่พนักงานสอบสวนให้คุยกันคนละฝ่าย พนักงานสอบสวนจึงเข้าไปเจรจาแทน ทางญาติเลยเข้าใจว่าพี่ติ๊กจะจ่ายให้แค่ 3 ล้าน ทางญาติเลยเดินมาต่อว่าทางพี่อ้อภรรยาของพี่ติ๊กว่า “งั้นขอขับรถชนรถพี่ติ๊กตายบ้าง แล้วจะเอาเงินมาวางให้ 3 ล้าน” ตอนนั้นเอ๋รู้สึกว่าไม่อยากเราผ่านวิกฤตินี้ด้วยการพูดจาเสียดสีหรือทำร้ายจิตใจซึ่งกันและกัน
การเจรจาครั้งที่ 2 วันที่ 12 พ.ย.67 เอ๋ตัดสินใจไปคนเดียว เพราะไม่อยากให้มีการพูดจาให้เจ็บช้ำน้ำใจกันมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นมันจะเจรจากันไม่รู้เรื่อง ซึ่งเงิน 9 ล้านที่คุณพ่อพูดครั้งแรกในการเจรจา คือในส่วนของน้องเมจิคนเดียว ส่วนน้องจูเนียร์ ยังไม่สามรถพิจารณาตัวเลขได้ เพราะตอนนั้นน้องยังอยู่ในไอซียู จึงยังไม่ได้คุย ต้องรอดูอาการน้องไปก่อน ครั้งที่ 2 เอ๋ไปพบกับคุณพ่อ ครอบครัวของน้องที่เสียชีวิต และพนักงานสอบสวน เราปรึกษากันในครอบครัวฝั่งพี่ติ๊กว่ามีความเป็นไปได้แค่ไหน ที่เราจะเอาทรัพย์สินที่ไม่มีภาระหนี้ออกมาขาย แปลงนี้น่าจะขายได้ 4-5 ล้าน เพราะที่ติดด้านหลังติดห้างเซ็นทรัลโคราช เลยมาเจรจากับญาติเขาว่าเบื้องต้นเรามีทรัพย์สินที่ไม่มีภาระหนี้แปลงนี้ จะเอาออกขายให้ ขายได้เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่จะขายให้เร็วที่สุด แต่คุณพ่อน้องก็บอกว่าน้องจูเนียร์ในระหว่างนี้มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น คือค่ารักษาพยาบาลและค่ากายภาพ เอ๋ก็โทรไปหาพี่ติ๊กว่าเป็นไปได้มั้ยว่าเราจะมีค่าใช้จ่ายของน้องในการรักษาพยาบาล การเดินทางของคุณแม่ รวมถึงการใช้จ่ายในการทำกายภาพต่าง ๆ พี่ติ๊กบอกยินดีรับผิดชอบ เพราะเราอยากให้น้องมีชีวิตอยู่ต่อ เลยตกลงกันว่าในระหว่างนี้ถ้ามีค่าใช้จ่ายอะไรให้คุณพ่อส่งมาให้ทางพี่ติ๊ก เราจ่ายให้หมด เราจ่ายให้แม้กระทั่งค่าเช่าซื้อมอเตอร์ไซค์ของน้องคนที่ที่เสียชีวิต ตอนนี้มอเตอร์ไซค์ยังซ่อมไม่เสร็จ แต่มีค่าเช่าซื้อ คุณพ่อของน้องก็รวบรวมใบเสร็จแจ้งค่าใช้จ่ายประมาณ 3 เดือนที่พี่ติ๊กพยายามหามาได้ เราจ่ายไปประมาณ 400,000 กว่าบาท ไม่รวมค่าประกันอีก 500,000 เบื้องต้นรวม 920,000 กว่าบาท แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะหยุดดูแล ที่ดินที่เราคุยกันที่จะขายน่าจะขายได้ 4-5 ล้านบาท ขายได้เท่าไหร่ พี่ติ๊กจ่ายให้น้องหมด พี่ติ๊กมองว่าตัวเองไม่ใช่ดาราศิลปินที่มีรายได้เยอะ มีงานเยอะเหมือนเมื่อก่อน เขาก็มองว่าทรัพย์สินที่เขามีจะเยียวยาได้มากน้อยแค่ไหน เขาก็พยาบามจะหามาได้มากที่สุด คุณพ่อของน้องพอตกลงกันไม่ได้ในครั้งที่ 2 คุณพ่อบอกว่าในส่วนของน้องคนเจ็บยังมี พรบ.อีก 500,000 บาท ให้เราไปคุยกับ พรบ. จ่ายให้ก่อนได้มั้ย แต่ประกันบอกว่าในส่วนของ พรบ.ต้องให้บริษัทเป็นคนคุยว่าจะจ่ายสินไหมในส่วนนี้ได้หรือเปล่าในเมื่อผลทางึคดียังไม่ยุติ แต่ประกันยังไม่สามารถจ่ายได้ เพราะผิดเงื่อนไขการจ่ายของบริษัท เนื่องจากผลคดียังไม่ยุติ แต่พี่พี่ติ๊กพยายามจ่ายตลอดในส่วนที่ พรบ.จ่ายไม่ได้ ในส่วนของน้องคนขับ หลังปีใหม่มีการนัดหมายกันว่าจะมาคุยกันเรื่องค่าสินไหม แต่ขอดูอาการน้องก่อนว่าจะสามารถกลับมาบ้านได้หรือยัง รักษาไปถึงขั้นตอนไหนบ้าง มีโอกาสจะเสียชีวิตมั้ย หรือถ้ารักษาต้องใช้เวลานานแค่ไหน ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะพิจารณาว่าค่าใช้จ่ายมันจะอยู่ที่เท่าไหร่
วันที่ 13 ม.ค.68 นัดหมายครั้งที่ 3 ท่านผู้กำกับลงมานั่งร่วมเจรจาเอง ครั้งนี้เหตุที่เราติดต่อทนายไปด้วย เพราะผู้กำกับแจ้งว่าการเจรจาที่โรงพักครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ถ้าเจรจาไม่สำเร็จ ตำรวจอาจจะต้องรวบรวมสำนวนการสอบสวนส่งให้พนักงานอัยการ เพื่อความสะดวกเราเลยประสานทนายมาด้วย ถ้าตกลงกันไม่ได้ จะให้ทนายเป็นฝ่ายประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปส่งพนักงานอัยการส่งศาล ผู้กำกับบอกให้คุณพ่อดูตัวเลขคร่าว ๆ ก้อนกลม ๆ ว่าเท่าไหร่สำหรับน้อง 2 คนเพราะปัจจุบันพี่ติ๊กอายุ 62 ปีแล้ว เขาไม่รู้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อได้ถึงเมื่อไหร่ เขาจะยังสามารถทำงานหาเงินมาจ่ายให้พ่อน้องได้อีกเท่าไหร่ ครั้งนี้พี่ติ๊กเสนอตัวเลขเดิม เป็นที่ดินแปลงนี้ที่ขายได้ 4-5 ล้าน ตอนนั้นคุณพ่อเสนอมาว่าของน้องเมจิ 8 ล้าน น้องจูเนียร์ 18 ล้าน รวม 24 ล้าน ตัวเลขนี้เพิ่งปรากฏว่าวันนั้น พอได้ยินตัวเลขขนาดนั้นเราเอากลับมาคุยกัน เพราะตัวเลขเยอะขนาดนั้นและเวลากระชั้นชิดเราคงหาให้ไม่ได้ เราตัดสินใจว่าขายที่ดินได้เท่าไหร่จะเอาให้คุณพ่อหมด แต่คุณพ่อกับญาติไม่พอใช่ และได้เอาคำพูดเดิมที่เคยเจรจามาพูดอีก ซึ่งในฐานะคนเจรจารู้สึกเจ็บปวด การสูญเสียไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ในเมื่อวันเกิดขึ้น เราก็จะหาทางออกให้มันดีที่สุด ณ วันนี้พี่ติ๊กยืนยันที่จะจ่ายเงินเยียวยาให้เขา เราพยายามที่จะขายที่ดินโฉนดแปลงนั้นออกเพื่อหาเงินเยียวยาให้คุณพ่อ แต่วันนั้นพี่อ้อเดินทางไปเยอรมัน จึงเอาโฉนดออกมาประกาศขายและส่งสำเนาโฉนดให้คุณพ่อไม่ได้ เพราะพี่อ้อเก็บไว้ในตู้เซฟ พี่อ้อไปเยอรมันเพื่อติดตามเงินค่ารักษาพยาบาลที่ทางรัฐบาลเยอรมันต้องจ่ายให้กับโรงพยาบาลที่แม่พี่อ้อรักษาอยู่ก่อนหน้านี้ ซึ่งเรายังติดค้างโรงพยาบาลในส่วนนี้ 6 ล้านบาท เราเองก็มีหนี้ เราอยากให้เข้าใจว่าเราก็มีภาระหนี้ที่ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน ไม่ใช่แค่หาเงินมีเยียวยา เราเองก็ขวนขวายสุดกำลังในการเยียวยาครั้งนี้ พี่ติ๊กเยียวยาแน่นอน แต่ต้องหลังจากที่ตกลงตัวเลขลงตัว ในส่วนของที่ดินเราก็ต้องรอว่าคนซื้อจะซื้อเมื่อไหร่ วางเงินเท่าไหร่ 3 เดือนที่ผ่านมาได้เท่าไหร่ มีเท่าไหร่ บางครั้งคุณพ่อแจ้งมาว่ามีค่าใช้จ่ายเท่านี้ ตัวเลขในบัญชีมีไม่มาก มีไม่พอ บางครั้งพี่ติ๊กก็โอนไม่ครบแล้วค่อยโอนตาม ในเมื่อไม่มีเงินในกระเป๋า ก็ยากที่จะตอบเหมือนกันว่าจะเอาเงิน1-2 ล้านมาจ่ายได้ยังไง เงินก่อนหน้าที่เราจ่ายไป หรือเงินที่ประกันจ่ายไป ถามว่าเป็นเงินเยียวยามั้ย อยากให้มองว่าพี่ติ๊กก็ช่วยจ่าย ประกันก็ช่วยจ่าย เรามองว่าเป็นการเยียวยาเบื้องต้น แต่หลังจากนี้ 20 กว่าล้านที่คุณพ่อเรียกร้องมา เราก็ต้องขวนขวายหามาให้ แต่ถ้าพี่ติ๊กทำไม่ได้ ก็จะพยายามหามาจ่ายให้เท่าที่ความสามารถของพี่ติ๊กจะหามาได้ ที่ดินหากขายไม่ได้ ถ้าคุณพ่อจำเป็นที่จะต้องใช้ หรือกลัวว่าพี่ติ๊กจะไม่จ่าย เรายินดียกโอนที่ดินแปลงนี้ให้เลย และรับผิดชอบค่าโอนให้ แต่เราเอาสำเนาโฉนดให้คุณพ่อไม่ได้ เพราะพี่อ้อเก็บไว้ในตู้เซฟ เราเองก็ไม่คิดว่าน้องจูเนียร์จะเสียชีวิต มันกะหันหันมากที่เราจะมาพูดกันถึงตัวเลข 24 ล้าน ราคาที่ดินตรงนั้น ราคาประเมินของกรมที่ดินกับราคาซื้อขายต่างกัน เรายังไม่ได้เอาตัวเลขไปถามราคาประเมิน ถ้าต้องการทราบต้องเอาสำเนาโฉนดไปตรวจสอบ แต่เราติดงานขาวดำ เลยยังไม่ได้เอาไปขอตรวจสอบ เราคาดการณ์ว่าน่าจะขายได้ 4-5 ล้านบาท ส่วนสาเหตุที่ประกันไม่จ่ายในครั้งแรก เพราะประกันมองว่าวันนั้นยังไม่ได้มีการสรุปว่าใครเป็นฝ่ายผิด เงินเยียวยาทั้ง 2 ชีวิต ณ วันนี้เราไหวที่ 4-5 ล้าน แต่สุดท้ายแล้วตัวเลขจะขยับขึ้นหรือลง เรายังเจรจากันไม่จบ อยู่ในขั้นตอนการต่อรองกัน แต่หลังจากนี้การเจรจายังไม่มีข้อยุติ 24 ล้านของคุณพ่อ กับ 4-5 ล้านของพี่ติ๊ก จะขยับเข้าหากันยังไง ต้องคิดว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ค่าใช้จ่ายน้องจูเนียร์ลดลง ที่คุณพ่อเสมอมา 18 ล้าน เพราะมีค่ารักษาพยาบาล แต่พอค่ารักษาพยาบาลลดลง ตัวเลขฐานรากที่เราจ่ายได้คือ 4-5 ล้าน แต่มันจะไปสิ้นสุดที่ตัวเลขไหน เรายังตอบไม่ได้
ขณะที่ ทนายความของ ติ๊ก ให้ข้อมูลในส่วนของการคำเนินคดีว่า พนักงานสอบสวนต้องเรียกพี่ติ๊กไปแจ้งข้อกล่าวหาใหม่ เนื่องจากปัจจุบันน้องเสียชีวิตเพิ่มเติม 1 คน การสรุปสำนวนเป็นยังไง ตรงนี้ไม่ขอก้าวล่วง แต่หากเราเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง ไม่ตรงกับความเป็นจริง ไม่เป็นไปตามกฏหมาย เราก็จะร้องขอความเป็นธรรมตามกฏหมาย เพราะในส่วนที่พูดถึงคลิปหน้ารถของคันที่พี่ติ๊กขับไป เราเห็นทั้งหมดแต่ไม่สามารถเอามาเปิดเผยได้ ตั้งแต่เกิดเหตุพี่ติ๊กไม่เคยบอกว่าตัวเองไม่ผิด พี่ติ๊กสารภาพผิดในส่วนของตัวเองมาโดยตลอด แต่ในส่วนของอุบัติเหตุครั้งนี้ต้องดูว่าความผิดเกิดพี่ติ๊กผิดฝ่ายเดียวหรือไม่ รอพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนคดี ทนายแจ้งไปแล้วว่าให้สรุปเป็นตามความเป็นจริง ตามข้อกฏหมาย ตอนนี้พี่ติ๊กโดนแจ้ง 3 ข้อกล่าวหา เมาแล้วขับ เมาแล้วขับชนคนตาย เมาแล้วขับทำคนบาดเจ็บสาหัส แต่ ณ ตอนนี้ต้องแจ้งข้อหาใหม่ เมาแล้วขับทำคนบาดเจ็บสาหัส เป็นชนคนตาย แต่ตรงนี้อยู่ในส่วนของพนักงานสอบสวน เพราะเขาต้องทำสำนวนเพิ่มเติมในการแจ้งข้อหาใหม่ เนื่องจากมีคนตายเพิ่ม ในส่วนของคดีที่ขอความเป็นธรรมคือเราขอให้พนักงานสอบสวนสรุปสำนวนคดีว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมีผู้ใดที่มีส่วนกระทำความผิดบ้าง ซึ่งก็ให้เป็นไปตามอำนาจของพนักงานสอบสวนเลย ถ้าดูการสรุปสำนวนของพนักงานสอบสวน ถ้าไม่เป็นไปตามกฏหมายก็ต้องเรียกร้องความเป็นธรรม เพื่อรักสิทธิ์ ณ ตอนนี้ยังไม่ได้มีการนัดหมายให้เข้าไปรับทราบข้อกล่าว ในส่วนของคดีอาญา พี่ติ๊ก รับสารภาพแล้ว แต่ในส่วนที่พูดของตัวเลข เรื่องละเมิดเป็นคดีแพ่ง ทางเราก็อยากให้มีการเจรจาเพื่อหาข้อยุติ แต่ถ้าเจรจาไม่ได้ก็ต้องเจรจาไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหาข้อยุติได้ ถ้าครอบครัวผู้เสียหายรู้สึกไม่เป็นธรรมก็มีสิทธิ์ขึ้นศาลได้ ศาลก็จะมีกระบวนการไกล่เกลี่ย จะได้เงินถึงตามจำนวนที่เรียกร้องมั้ย ไม่อาจก้าวล่วงอำนาจศาล ขอไม่พูดว่าจะได้ถึงหรือไม่ได้ถึง ต้องดูอาชีพความเป็นมา ในทางกฏหมายต้องยอมรับความเป็นจริงว่าค่าของชีวิตคนไม่เท่ากัน ทั้งที่ชีวิตหนึ่งเหมือนกัน ส่วนตัวเลขเยียวยาต้องดูผลทางคดีด้วย น่าจะสรุปได้หลังมีการสรุปสำนวนคดี การออกสื่อแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวครั้งสุดท้าย หลังจากนี้ให้เป็นไปตามขบวนการทางกฏหมาย.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน
ภาพ tikshirotoshirik