แสตมป์ เล่าปมหายหน้าเกือบ 2 ปี เหตุภรรยาถูกคุกคามจากคนที่ไม่รู้จัก ขึ้นศาลเจอพ่อคู่กรณีเป็นนายพล ขู่ยัดคดีการเมือง ฟ้องร้องจนชนะ อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมลามือ

แม้นักร้องดัง แสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข และ ภรรยาสาว นิว จีริสุดา ศรีวัฒน์ จะฟ้องร้องจนชนะคดีจากกรณีที่ถูกกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งบุกรุกเข้ามาภรรยาหลังเวทีคอนเสิร์ต ทั้งยังกล่าวหาในทางเสียหาย สร้างความเกลียดชังให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งที่ไม่รู้จักภรรยาของเจ้าตัวมาก่อน ตั้งแต่ปี 2565 – ปัจจุบัน เป็นเหตุให้นักร้องดังหายหน้าหายตาไปจากการทำงาน เนื่องจากพาภรรยาไปขึ้นศาลฟ้องร้องจนชนะคดี แต่ดูเหมือนว่าคู่กรณีจะยังไม่ยอมจบ ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ม.ค.68 ที่ผ่านมา เปิดใจกลางเวทีคอนเสิร์ต Wednesday Song ณ โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ เล่าถึงเรื่องดังกล่าว ซึ่งผู้ใช้ Youtube ช่อง SarutaTa บันทึกคลิปวิดีโอในช่วงดังกล่าวมาให้รับชม


ในคลิป แสตมป์ เล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองและภรรยาด้วยน้ำเสียงแห่งความอัดอั้นว่า ขอบคุณทุกคนที่ยังจำผมได้อยู่นะครับ ผมขอเล่าเรื่องบางเรื่อง ซึ่งมันจะปกป้องชีวิตคนในครอบครัวผมได้ แล้วผมเอามันออกมาสู่แสงสว่าง เพราะว่าภรรยาผมถูกโจมตีในที่มืดมานานเกินไปแล้ว ผมหายไปเพื่อฟ้องร้องคน 2 คนที่บุกมาถ่ายคลิปแบล็กเมลภรรยาผมหลังเวที เริ่มจากมีคนคนหนึ่งสร้างสถานการณ์ ทำให้เกิดความเกลียดชัง สร้างความเข้าใจผิดให้กับภรรยาผมในวงการเพลง ทั้ง ๆ ที่เขาไม่รู้จักส่วนตัวกับภรรยาผมมาก่อน แล้วก็มีคนเชื่อถึงขั้นมาโพสต์ด่าโจมตี บุกรุกมาหลังเวที จนผมทำงานไม่ได้ คน ๆ นี้ โผล่หน้ามาให้ภรรยาผมรำคาญใจมาเป็น 10 ปีแล้ว ทั้งที่ไม่รู้จักกัน แต่เรื่องมันร้ายแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 2565 มีตัวละครเพิ่มขึ้นมาคือแฟนหนุ่มของเขา ซึ่งทำงานอยู่ในวงดนตรีวงหนึ่ง ทำให้ฝ่ายหญิงมีป้ายให้คอที่จะบุกรุกเข้ามาหลังเวที ในช่วงปี 2565 ขณะที่ผมเล่นดนตรีบนเวที 2 คนนี้จะแวะมาโฉบผ่านหน้าภรรยาผม บางครั้งก็สร้างสถานการณ์มานั่งร้องไห้ใกล้ ๆ ภรรยาผม ซึ่งภรรยาผมก็ไม่รู้มันคืออะไร แต่เธอก็ไม่อยากมีเรื่อง ไม่อยากให้ผมเป็นข่าว เธอใช้วิธีการหลบเลี่ยงเอา ภรรยาผมบอกกับผู้จัดการว่า ขอไม่รับงานร่วมกับวงดนตรีวงนี้ไปก่อน คิดว่าจะจบได้โดยไม่มีการปะทะกัน

จนวันที่ 26 ก.พ. 2566 มีงานคอนเสิร์ตที่ เดอะสตรีท รัชดา เราทราบไม่กี่วันก่อนหน้าว่าเราต้องเล่นกับวงดนตรีวงนี้ แคนเซิลไม่ทัน เมื่อไปถึงพบว่าคู่กรณีทั้ง 2 คน มาดักหน้าห้องพักศิลปิน พอเห็นภรรยาผม ทั้งสองพุ่งเข้ามาหาภรรยาผม พูดจากล่าวหาใส่และมีคนอัดคลิปวิดีโอไว้ แล้วไปบอกคนในวงการเพลงว่าบังเอิญเจอภรรยาผมหลังเวที และหาว่าภรรยาผมไปคุกคามเขาโดยไม่มีสาเหตุ จากนั้นเราเริ่มใช้การ์ดมาดูแลความปลอดภัย คอยลาดตระเวนก่อนคอนเสิร์ตเริ่มว่ามี 2 คนนี้มาไหม ผ่านไปไม่นานทั้ง 2 คนย้ายไปทำงานกับอีกวงดนตรีหนึ่ง ผมก็ติดต่อไปหาหัวหน้าวงนั้นว่า ขอไม่รับงานร่วมกัน เพื่อความปลอดภัย ไม่อยากปะทะ ไม่อยากเป็นข่าว ก็คิดว่าจะจบได้ดี จนวันที่ 21 ต.ค. 2566 ที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี ก็ไปเจอกับหญิงคนเดิมนี้ที่รออยู่ ภรรยาเลยพาผมเบี่ยงตัวออกไป หลบในห้องพักนักดนตรี จนพอผมเตรียมขึ้นแสดง เปิดประตูมาเจอหญิงคนนี้ชูมือถือถ่ายอยู่หน้าห้อง แล้วไปโพสต์ในโซเชียลว่าภรรยาผมไปคุกคามเขาเช่นเดิม 28 ต.ค. 2566 ทั้ง 2 คนนี้ไปนั่งดักรอเจ้าของค่ายเพลง ค่ายใหญ่ที่สุดค่ายหนึ่งในประเทศ ทั้งที่ไม่รู้จักกัน แล้วไปร้องไห้ฟ้องว่าถูกคุกคามโดยภรรยาผม ผู้ใหญ่ท่านนั้นรับฟังให้คำปรึกษา ก่อนติดต่อมาหาผมเพื่อฟังความอีกข้าง ผมจึงเล่าความจริงไป จนในปีที่ผ่านมาผู้ใหญ่ท่านนั้น ยอมไปขึ้นศาลเพื่อเป็นพยานให้ว่า 2 คนนี้ทำลายชื่อเสียงภรรยาผม


ผมตัดสินใจโทรหานักร้องนำวงนี้ที่เขาสังกัดอยู่ ขอโทษที่ร่วมงานกันไม่ได้ตราบใดที่ 2 คนนั้นยังอยู่กับคุณ เราทำงานไม่ได้จริง ๆ ตลอดการสนทนา ก็แน่ใจได้ว่านักร้องท่านนี้อัดเสียงผมอยู่ตลอด นั่นแปลว่า 2 คนนั้นไปบลัฟไว้ก่อนแล้วว่าภรรยาผมไปคุกคามเขาและเขาเชื่อ แต่ภรรยาผมจะไปคุกคามเขาก่อนได้อย่างไร เมื่อทุกครั้งที่เกิดเหตุ มันเกิดที่หน้าห้องพักศิลปินของผม ในเมื่อภรรยาผมไม่ปลอดภัย และไม่มีใครช่วยเราได้ ผมจึงต้องไปพึ่งศาล ไม่เช่นนั้น 2 คนนี้จะไปวาดภาพว่าภรรยาผมไปทำอะไรก็ได้ แต่เรื่องที่น่ากลัวที่สุดของครอบครัวผมก็เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนี้ครับ ระหว่างที่ไปศาลกัน พ่อของจำเลยท่านหนึ่ง เป็นทหารยศนายพลจาก พิษณุโลก มาขึ้นศาลแทนลูกของเขา พร้อมบอกว่าขอให้ผมกับภรรยาถอนฟ้องลูกของเขา ไม่เช่นนั้นผมจะโดนยัดคดีทางการเมืองนี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นในศาล

ขณะที่นอกศาล นายพลท่านนี้เคยขับรถไปบ้านแม่ของผม บอกว่าเป็นแฟนคลับ เอาของมาให้ แล้วถ่ายรูปแม่ผมเก็บไว้ ส่วนภรรยาของนายพลแฝงตัวเข้าไปในกรุ๊ป Open Chat แฟนคลับ เพื่อสืบว่าไปเล่นคอนเสิร์ตที่ไหน แล้วแฝงตัวเข้าไปดูคอนเสิร์ต พยายามแสดงตัวให้เห็นว่าจับตาดูอยู่ตลอด จนผมตัดสินใจปิด Open Chat แต่คู่กรณียังคงตามติดตลาดทั้ง หน้าโรงแรมที่เราพัก ปั๊มน้ำมันที่เราเข้า หนักที่สุดเคยมานั่งข้าง ๆ ผมบนเครื่องบิน ระหว่างที่ทำการฟ้องร้อง ผมลองตรวจสอบดู พบว่ามีการล็อกที่นั่งไว้จริง ๆ จากเพื่อนของเขาสมัยมหาวิทยาลัย ที่ทำงานสายการบินนั้น หลังจากนั้นผมไม่รับงานที่ไหน ๆ ที่ต้องเดินทางด้วยเครื่องบินอีกเลย และขอไม่รับงานใด ๆ อีกจนกว่าศาลจะคุ้มครองเรา

วันที่ 30 พ.ค. 2567 เราชนะคดีได้ ด้วยการที่จำเลยรับสารภาพเอง ตอนนั้นเขาจำนนต่อหลักฐานในชั้นสืบพยาน มีการยกมือไหว้ภรรยาผม ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา และจะไม่ยุ่งกับภรรยาผมอีก แต่พอผ่านมา 2 สัปดาห์ เขาก็มาโพสต์ด่าภรรยาผมเหมือนเดิม ผมเลยบอกว่าไม่อยากให้มายุ่งแล้ว ช่วยทำตามคำสั่งศาลด้วย ไม่เช่นนั้นจะเอาเรื่องอย่างเด็ดขาด และเอาข้อมูลทั้งหมดมาเปิดเผย ทั้งชื่อวงดนตรีที่จำเลยทำงานอยู่ รวมไปถึงชื่อนายพลด้วย” ซึ่งหลังจากมีการเผยแพร่คลิปดังกล่าวออกไปก็มีคนคลิกเข้ามารับชมเกือบหมื่นวิวแล้ว ทั้งยังคอมเมนต์ส่งกำลังใจให้นักร้องดังและภรรยากันอย่างเนืองแน่น โดยก่อนหน้านี้ แสตมป์ ได้แต่งเพลง SASAENG (ซาแซง) เพื่อใช้ประกอบการฟ้องร้อง โดยมีเนื้อหาเล่าถึงปมที่ภรรยาของเจ้าตัวถูกใส่ร้าย ซึ่งคำว่า “ซาแซง” เป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มแฟนคลับที่คลั่งไคล้ในตัวศิลปินมากจนเกินขอบเขต และมีพฤติกรรมติดตามศิลปินไปทุกที่แม้ในเวลาส่วนตัว.-


stampapiwat

เข้าชม 400 ครั้ง
ดูข่าวเพิ่มเติม