เพื่อนสนิททั้งยามทุกข์และยามสุขอย่าง หนุ่ม คงกระพัน เปิดใจครั้งสุดท้ายก่อนทำหน้าที่อ่านประวัติของพระเอกผู้ล่วงลับ เมฆ วินัย ไกรบุตร ในพิธีฌาปนกิจ ที่วัดศิริพงษ์ฑรรมนิมิต โดยวันนี้(25 มี.ค. 2567) หนุ่ม คงกระพัน ให้สัมภาษณ์ว่า “วันนี้มาส่งเพื่อนครั้งสุดท้าย และรับหน้าที่อ่านประวัติด้วย “เตรียมตัวมาตั้งแต่เมื่อคืน(24มี.ค.) จะพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แต่ว่ามันผ่านเวลามาหลายวันแล้ว พี่เชื่อว่าทั้งครอบครัว ทุก ๆ คน เริ่มที่จะทำใจได้แล้ว รวมถึงเราด้วย รู้สึกผ่อนคลาย รู้สึกว่าพี่เมฆทำดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องห่วงอะไร พอมีข่าวออกไปว่าทุกคนจะช่วยผลักดันลูกพี่เมฆ และทุกคนที่รักพี่เมฆจะเป็นเพื่อนต่างวงการจะช่วยดูแล เราก็ดีใจ ดีใจกับครอบครัวเขา ส่วนของเราดูแลกันไปอยู่แล้วเหมือนครอบครัว วันนี้เป็นวันที่มาส่งเป็นครั้งสุดท้าย ก็พูดคุยกันว่าจากนี้ไป ที่บ้านก็จะเงียบเหงาเล็กน้อยเพราะเป็นปกติของทุกบ้าน พอจบงานศพคน ๆ หนึ่งที่ไม่อยู่ ที่บ้านก็คงจะเงียบ แต่โชคดีที่บ้านพี่เมฆพี่น้องเยอะ เอ๋เขาก็มีลูก 3 คน น้องสาวพี่เมฆด้วยก็ยังอยู่กรุงเทพ ดูแลกันไป
ถ้ามองแง่บวกเอ๋จะเหนื่อยน้อยลงเพราะคนป่วยไม่อยู่ เพราะทุกวันเขาต้องปรนิบัติดูแล ทำหน้าที่แม่ด้วย ทำงานด้วย รับส่งลูกด้วย แต่พอคนป่วยไม่อยู่ ภาระหนัก ๆ อย่างนึงก็หายไป ก้เหลือแต่ทำงานและดูแลลูก ๆ ก็ให้กำลังใจเขาตลอด บอกว่าเราต้องทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวแล้ว เป็นผู้นำทางความคิด
ในงานคอนเสิร์ตมีเพื่อนมาเพิ่มเติมไหม มีครับ แต่เราไม่กล้ารับปากว่าจะได้ขึ้นหรือเปล่า เพราะในโปสเตอร์คนเยอะมาก จนตอนนี้เราให้ศิลปินขึ้นคนละ 2 เพลง เราบอกมให้นักดนตรีไปซ้อมก็หลายสิบเพลงอยู่ เลยก็ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ ที่ได้ข่าวพี่เมฆ ก็อยากจะมาร่วมงาน เราก็เกรงใจกลัวจะไม่มีพื้นที่ กลายเป็นว่าคนที่ตอบรับมาก่อนจะลำบาก ก็กังวลเราเลยยังไม่กล้าใส่อะไรไปเพิ่มเติม ต้องรอดูหน้างาน ทุกคนมาด้วยใจ ไม่มีค่าตัว ทุกคมีงาน บางทีมาจากต่างจังหวัด เราก็ต้องรีบจัดคิว ทุกคนเวลาไม่เหมือนกัน รวม ๆ แล้วมีประมาณ 40 ชีวิต อาจจะมีเพิ่มอีก ส่วนโต๊ะคือเต็มหมดแล้วเพราะมีจำนวนจำกัด ทางสถานที่เขาจะกำหนดมา แต่คนที่มาก็เข้าไปมาได้ จ่ายค่าเข้า 300 เข้ามาดูได้เลย เพราะสถานที่เขารองรับได้เยอะ
หลัง เมฆ เสียชีวิต มีฟีดแบกไปถึง อ.ไพศาล ทั้งบวกและลบ “คือจริง ๆ เราทุกคนทำเจ็มที่เพื่อพี่เมฆ ทั้งตัวเราเองและตัวอ.ไพศาล ท่านก็พยายามทำให้เต็มที่ ตามกำลังความสามารถชของท่านแล้ว เรียกว่าเงินทองก้ไม่ได้เรียกร้องอะไร เขาช่วยคนทมา 40 ปีแล้ว เราพยายามบอกคนดูว่า เราทดลองไปด้วยกัน เรียนรู้ไปด้วยกัน เราเองก็ไม่มีความรู้ที่จะบอกคนดูว่า ชีวิตมนุษย์เราการเวียนว่ายตายเกิดเป็นยังไง เราเองก็บอกไม่ได้ ตอนนี้หายหรือเปล่าไม่รู้ แต่มันเป็นการทำอะไรที่สร้างกำลังใจ ทำบุญ ขออโหสิกรรม กรวดน้ำ ทาสีวัด ทำสังฆทาน คือมันเป็นอะไรที่ดีอยู่แล้ว เงินทองไม่ต้องเสีย เหมือนกับที่พี่เมฆจะลองการรักษาอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่ใช่ทางวิทยาศาสตร์นะ แต่เราก็วิทยาศาตร์ควบคู่นะ สิ่งที่อ.ประวิทย์ แนะนำ
แต่ก่อนหน้านี้ที่เขาทดลองอะไรที่ไม่ใช่ทางคุณหมอ มีกิน ทา ฉีด แต่อันนี้มันไม่มีอย่างนั้น เราเลยมองว่ามันปลอดภัย เสริมกำลังใจ เราก็ทำหน้าที่ของเราดีที่สุด ก็ดีใจที่เขารู้สึกดีอยู่ช่วงนึงนะ แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ทรุด มันกะทันหันเหลือเกิน ทำใจไม่ได้เหมือนกัน อย่ามีดรามา อย่าอะไรกันเลย ทุกคนพยายามทำให้พี่เมฆด้วยใจทั้งนั้น ไม่มีใครอยากให้เขาตาย อยากให้หายหมด แต่เราต้องเคารพการตัดสินใจของผู้ป่วย เคยเห่อขึ้นเกือบตายก็หลายรอบ มันเป็นเรื่องปกติที่เขาจะกลัวเอาอะไรเข้าไปในร่างกาย เขาก็มีสิทธิ์เลือกวิธีของเขา สุดท้ายจริง ๆ มันเป็นเรื่องของโรคที่รักษาไม่หาย เราก็ไม่รู้ทำไง อาการขึ้น ๆ ลง ๆ วนอยู่อย่างนี้หลายเที่ยว ก่อนเสียชีวิตเรื่องตุ่มน้ำพองเหมือนหายนะ ลดยาแล้วไม่มีตุ่มเพิ่มขึ้น แต่เขามาความดันตกและขาดเลือด เราไม่แน่ใจว่าเขาเสียชีวิตด้วยการติดเชื้อในกระแสเลือดหรือเปล่า จากที่เขาฝันแล้วเขาลูบขาจนไม่เหลือผิวหนังเลย ซึ่งเขากินสเตียรอยด์มาตลอด ผิวหนังเขาบางมาก เลยทรุดฮวบเลย จนหัวใจหยุดเต้นถึงที่สุด”
“วันนี้เราก็มาส่งเขาครั้งสุดท้าย ได้เห็นแล้วว่าคนรักเขามากแค่ไหน บางทีไม่ใช่ครอบครัว ไม่ใช่เพื่อนสนิท แต่เขาก็ส่งความช่วยเหลือผ่านพี่หนุ่มเยอะแยะ น่าชื่นใจแทนเขามาก วินัย ไกรบุตร เป็นคนที่คนรัก เป็นคนที่มีชื่อเสียงที่ดี ทำงานร่วมกับใครก็ชื่นชม วินัยสมชื่อ เราก็ได้คุยกับอ.ไพศาล โทรไปคุยก่อนพี่เมฆเสียไม่กี่นาที ก็เจอพี่จอย บอกพี่จอยว่าดูให้หน่อยเป็นยังไง เขาก็บอกว่า โอ้ย เหมือนจะหมดบุญแล้ว ทำได้เท่าที่ทำได้ ไปปล่อยปลา ทำบุญแล้วนึกถึงเขานะ เราก็รีบทำ น้องสาวเขาก็ไปทำ แต่หลังจากเสีย เราก็ไม่ได้โทรหา ดูจากข่าวที่นักข่าวไปสัมแทน เขาบอกว่าไปเจอเมฆวินัยที่ข้างบนนู้นนี้นั้น ก็ยังนั่งดูอยู่แต่ไม่ได้โทรคุย”
หลายคนบอกว่าพี่เมฆมาหาแบบหล่อเหลา ? “เราก็รู้สึกดีว่าเขาสบาย ไปสบาย อย่างน้อยเขาก็สบายกว่าอยู่นะ ได้ยินที่เขาพูดกับอ.ไพศาล ว่า รู้งี้มาตั้งนานแล้ว ส่วนเราไม่รู้สึกว่าเขามาหาเลย เพราะเขารู้ว่าเรากลัวผี เขาก็ไม่มา เพราะรู้นิสัยกันอยู่ เราก็พยายมนั่งมอง มองหลังโลงศพบ้าง จินตนาการบ้าง มันรู้สึกได้ด้วยใจว่าเราเป็นห่วงกัน เราก็อยากให้เขาไปสบายที่สุดแบบไม่ต้องห่วง เราพยายามบอกกับเขาเสมอว่าไม่ต้องห่วงนะ ทำดีที่สุดแล้ว ไปสบายเลยไม่ต้องกังวล เขาจะได้สบาย”.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน