“เอ๋ มิรา” เครียดหนัก หลังถูก “ครูไพบูลย์” ฟ้องหมิ่นเรียก 1 ล้าน เตรียมหลักฐานสู้กลับ ลือ”หนุ่ม กรรชัย” อาจโดนฟ้องด้วย

“เอ๋ มิรา” ควง “ทนายเก่ง นฤบดินทรา ศรีศิวารา” เปิดใจกับ “หนุ่ม กรรชัย” ในรายการ “โหนกระแส” อีกครั้ง หลังถูกอดีตสามี “ครูไพบูลย์ แสงเดือน” ฟ้องฐานหมิ่นประมาทเหตุพูดจาพาดพิงภรรยาใหม่ “กระต่าย พรรณิภา” ผ่านรายการดัง ส่งหมายศาลฟ้องเรียกค่าเสียหาย 1 ล้านบาทด้าน “เอ๋” ฟ้องกลับ “ครูไพบูลย์”ฐานพรากผู้เยาว์ แบ่งสินสมรส 20 ล้าน ขณะที่ “หนุ่ม กรรยา” เจอข่าวลืออาจโดน “ครูไพบูลย์” ฟ้องเช่นกัน พิธีกรคนดังเข้าใจ มองว่าเป็นสิทธิ์ของครูไพบูลย์ทั้งยังเตือนสติทั้งคู่ให้คิดถึงลูก ต้องมีคนถอยสักก้าว


โดย “เอ๋ มิรา” เผยด้วยสีหน้าเศร้าหมองยอมรับตั้งแต่ว่าตั้งแต่ได้รับหมายศาลมาก็รู้สึกเครียด นอนไม่หลับ หลังโดนอดีตสามีฟ้องเรียกเงิน 1 ล้านบาท ฐานหมิ่นประมาทแฟนใหม่ “กระต่าย พรรณนิภา” โดยอดีตสามีได้ส่งหมายศาลและคลิปวดีโอขณะที่ตนมาออกรายการนี้ ตนจึงส่งให้อ.ประจักษ์ชัย ซึ่งนายห้างคนดังก็บอกว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก ก่อนจะส่งต่อให้จึงส่งให้ “ทนายเก่ง นฤบดินทรา” ดูแลในเรื่องคดีให้ ให้ดูไปตามละเอียด ให้สิทธิ์ตนว่าจะยังไง สิ่งที่ตนพูดเป็นสิ่งที่ตนเจอมา

เอาจริง ๆ ตนก็รู้สึกผิดว่าตนทำให้อาจารย์กับอดีตสามีที่เคยรัก เคยช่วยเหลือกัน มีปัญหากันเพราะตนหรือเปล่าแต่อาจารย์บอกว่าอาจารย์ไม่ได้อยู่ฝั่งใคร ไม่ได้ทะเลาะกับไพบูลย์ด้วย ตอนอาจารย์เอาตนมาปั้น อาจารย์ก็พูดตลอดว่าอาจารย์ไม่ได้ทะเลาะกับไพบูลย์ แต่มาพูดเพราะเห็นว่าไม่ได้มีการมีงานทำอยากช่วยให้มีเงิน แต่ฝั่งครูไพบูลย์มีการโพสต์แซะโพสต์ว่ามีผู้ใหญ่คอยยุยงให้ตนทำแบบนี้ อาจารย์เองก็รู้สึกว่าทำไมเขาโพสต์แบบนั้น ส่วนตัวแล้วตนไม่ได้รู้สึกว่ามีใครมายุยง ซึ่งการโพสต์แบบนั้นคุณไม่ไว้หน้าผู้ใหญ่เลย พูดว่าอาจารย์เป็นคนอื่น ทำไมต้องมายุ่ง ก็อยากบอกว่าตอนนี้ตนอยู่ในความดูแลของอ.ประจักษ์ชัย ถ้าอาจารย์ไม่ช่วยแล้วใครจะช่วย


ถามว่าได้คุยกับอดีตสามีไหม “เอ๋” เปิดใจให้ฟังว่าก่อนหน้านี้ลูกอยู่ในความดูแลของครูไพบูลย์ แต่ล่าสุดตนโทรไปบอกกับครูไพบูลย์ว่าจะเอาลูกมานอนด้วย แต่อีกฝ่ายถามตนว่าต่อไปจะทำอะไรอีก จะจบมั้ย ตนก็เลยบอกว่าจบเพราะตนพูดในสิ่งที่ถูกกล่าวหาไปแล้ว อดีตสามีถามกลับว่าทำไม 3 ปีที่แล้วไม่พูด ตนจึงยืนยันว่าพูดแล้ว อดีตสามีจึงถามตนต่อว่าแล้วจะให้เขาทำอะไร ตนจึงตอบไปว่าถ้ารู้ว่าตัวเองผิดทำไมไม่ขอโทษ และไม่บอกว่าตนไม่ได้มีชู้ อีกฝ่ายก็ถามกลับว่าถ้าอยากให้ขอโทษทำไมไม่บอก จะได้จบ ๆ ตนจึงถามกลับไปว่าไม่มีจิตใต้สำนึกคิดเองเลยเหรอที่จะโพสต์ขอโทษตน หากตนบอกตนคงไม่ได้รู้สึกดี จากนั้นตนและอดีตสามีก็ทะเลาะกัน ก่อนจะมี หมายศาลมาส่งมาที่บ้าน และหลังจากมีหมายศาลก็ไม่ได้คุยกันเลย

ทำไมไม่เคลียร์กัน “เอ๋” ให้ข้อมูลถึงเรื่องนี้ว่า “จริง ๆ มีเพื่อนแคปข้อความที่เขาตอบแชตว่าเขารอเรามาเคลียร์ทุกวัน หนูเลยรู้สึกว่าหนูผิดเหรอ จะให้หนูไปเคลียร์ คุณเป็นคนผิดก็มาเคลียร์กับเราสิ หนูก็ต้องปกป้องตัวเองแล้ว เลยปรึกษาพี่ทนาย คุยเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบให้ฟัง ได้ข้อสรุปว่าจะฟ้อง ในมุมของหนูมองว่า ไม่จำเป็นต้องคุย เพราะหนูไม่ผิด ส่วนเรื่องที่เขาฟ้องเรียกค่าเสียหาย 1 ล้าน ถ้าหนูพูดกับเขาก็เหมือนหนูไปขอร้องให้เขาให้อภัย ทั้งที่หนูไม่ได้ผิด ถ้าถามว่าไม่คิดถึงลูกเหรอ ต้องให้เขาเป็นคนคิดค่ะ ไม่ใช่ให้หนูไปถามว่าฟ้องหนูทำไม ไม่คิดถึงลูกเหรอ หนูคิดว่าถ้าเขาคิดจะฟ้องหนูแล้วคงไม่ได้คิดถึงลูก”

ส่วนที่ฟ้องอดีตสามีข้อหาพรากผู้เยาว์ ตอนนี้เอ๋ อายุ 24 ปี แต่ตอนที่คบกับอดีตสามีเอ๋อายุ 15-16 ปี 9 ปีมาแล้ว ถามทำไมไม่ฟ้องตั้งแต่ตอนนั้น เพราะตอนนั้นคิดว่าเขาเป็นพ่อของลูก อยู่กินด้วยกันมานานแล้วแม่ก็มีสัญญาไว้ แม่คิดว่าอยู่กินกันแล้วเขาจะดูแลเรา แต่พอเขาผิดสัญญา ไม่มาชดใช้ตามสัญญา แล้วมาทิ้งเราอีก ตอนนั้นพ่อกับแม่ได้ได้ยินยอม ไม่ได้รับรู้ว่าเราคบหรือเราเลิกกัน เพราะหนูไม่ได้บอกพอแม่รู้ก็บินกลับมาจากต่างประเทศและไปเซ็นตามที่ อ.ประจักษ์ชัย โพสต์ เรื่องนี้สามารถพิสูจน์ได้ เพราะแม่ได้ลงในสัญญาแล้วว่าแม่ไม่ได้รับรู้ว่ามีอะไรกันมาก่อน พอแม่รับรู้ว่าหนูเสียหายแล้วก็ให้เขามาพูดคุยกัน และให้เขามาเซ็นสัญญา ชดใช้ค่าเสียหาย และมาสู่ขอใน 3 เดือน คือ 1 แสนบาท ถ้าเลยสัญญานี้ไป ก็ให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็น 2 แสน และดำเนินคดีตามกฎหมายซึ่งเขาก็ไม่ได้มาชดใช้ และไม่ได้มาสู่ขอตามสัญญาที่เขียนไว้ค่ะ”


ตอนนั้นที่ไม่ฟ้อง หนูขอแม่ไว้ค่ะ ตอนนั้นไพบูลย์ยังไม่มีตังค์ แต่พอเริ่มมีตังค์เขาก็ไม่มาขอสักที หนูก็ไม่รู้จะยังไง แม่ก็สงสารหนู ก็คิดว่าเขาคงเลี้ยงดูหนู พอมีตังค์ มีเงินแล้ว ค่อยมาให้แม่ก็ได้ แต่พอเริ่มมีเงินเขาก็มาทิ้งเราแบบนี้ แม่เลยรู้สึกว่าจะทำยังไงได้ นอกจากไปบอกให้เขามาชดใช้ จะดำเนินคดีได้มั้ย แม่พูดคุยกับหนูมาตลอด หนูก็ไม่รู้จะปรึกษาใคร จนมาพูดคุยกับอ.ประจักษ์ชัย และทนาย หนูกับเขาจดเมื่อเดือน มิ.ย.ปี 61 จดได้ 3 เดือนก็หย่าตอนนั้นน่าจะอายุ 19-20 ปี”

ด้าน “ทนายเก่ง” เผยว่า “การที่”เอ๋” มาออกรายการเป็นการพูดความจริงในชีวิตจากเรื่องราวที่ผ่านมา และการให้ข้อมูลก็เป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นจริง ไม่ได้มีเจตนาใส่ความ เป็นการปกป้องสิทธิ์ของตัวเองในรายการตามที่พิธีกรได้สอบถาม ทั้งหมดทั้งมวลมีข้อกฏหมายที่ยกเว้นความผิดในลักษณะดังกล่าวไว้ ซึ่งตนและ”เอ๋”ได้เตรียมหลักฐานต่าง ๆ เพื่อจะไปต่อสู้คดี ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องที่ศาล จ.เลย จากที่ฟังคลิปวันนั้นเอ๋เข้าข่ายยกเว้นตามกฏหมาย มันมีบทบัญญัติเรื่องกฎหมาย มาตรา 329 ที่ได้บัญญัติไว้ในลักษณะของการให้การ หรือการกล่าวในลักษณะที่มีการเหมือนพาดพิงบุคคลอื่นแต่การกล่าวนั้นเป็นการกล่าวเพื่อปกป้องตัวเอง เพื่อความเป็นธรรมของตัวเอง กฎหมายก็บัญญัติเอาไว้ ก็เป็นแนวทางในการต่อสู้กันไป ด้วยพยานหลักฐาน มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ไม่ได้ปั้นแต่งขึ้นไปใส่ความหรือสร้างข้อเท็จจริง ยุคนี้เป็นยุคโลกออนไลน์ มันมีข้อมูลเก็บย้อนหลังได้ มันมีรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง แล้วลักษณะคดีดังกล่าว มันมีบัญญัติกฎหมายที่ได้แจ้งไว้แต่ทีแรกมันสามารถต่อสู้คดีในประเด็นนี้ได้ ตนเลยไม่ได้มีความหนักใจในประเด็นนี้เท่าไหร่”

“ครูไพบูลย์ฟ้อง ฝั่งเราก็ฟ้องเหมือนกัน ในคดีคดีอาญา เป็นการแจ้งความร้องทุกข์พนักงานสอบสวนในท้องที่ ที่ความผิดเกิดในความผิดฐานกระทำชำเราน้องเอ๋ พรากผู้เยาว์ คือพราก”เอ๋” ไปแจ้งแล้วเมื่อวานนี้ฟ้องเองเรื่องสินสมรส ประเด็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างที่อยู่ด้วยกัน รายได้จากยูทูปก็ดี รายได้จากการออกงานก็ดี อายุความ 10 ปี ส่วนที่อีกฝ่ายฟ้องหมิ่นประมาท 1 ล้าน ข้อที่เขาฟ้องมาเป็นคดีอาญาถ้าเป็นความผิดก็มีโอกาสติดคุก ถามว่าถ้าแพ้แล้วติดคุกจะทำไง จริง ๆ เหตุผลหนึ่งหลายคนสงสัย ทำไมเราถึงเพิ่งมาดำเนินคดี ผมรู้จักน้องเอ๋ เนื่องจากรู้จักอ.ประจักษ์ชัยเข้ามารู้จักในเชิงการทำธุรกิจผลิตภัณฑ์กันและมีการคุยกันเรื่องข้อกฎหมาย ผมก็ปรึกษาอาจารย์ ว่าถ้าเราฟ้อง ก็ฟ้องได้นะ ฟ้องตามที่เราได้แจ้งเรื่องพรากผู้เยาว์ การกระทำความผิดการกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี แต่ได้คำตอบจาก อ.ประจักษ์ชัยจากเอ๋เองว่าไม่อยากฟ้อง ไม่อยากมีคดี แต่สุดท้ายเราถูกฟ้องเลยต้องมีเหตุนี้”

“พอเขาฟ้องเรามา เราก็ฟ้องอีกเรื่องมันเป็นการแก้เกี้ยวหรือเปล่า เป็นการใช้สิทธิ์ทางศาล มันเป็นสิทธิ์ที่เราใช้สิทธิ์ได้ เชื่อว่าเป็นคดีตัวอย่างที่หลายคนจับตามอง นี่เป็นเหตุนึงที่อ.ประจักษ์ชัย ออกมาเต็มรูปแบบ เพราะเราคิดว่าไม่น่ามีการฟ้องโดยเฉพาะเอ๋ ที่เป็นอดีตภรรยา ทำมาหากินมาด้วยกัน ก่อสร้างค่ายเพลงด้วยกัน หลายคนมองว่าคนวงการเดียวกัน เคลียร์หลังบ้านดีกว่า อย่าฟ้องร้องกันเลย จริง ๆ ทางเราก็คุยกัน อย่างที่พี่หนุ่มบอกอยู่ในวงการเดียวกัน ก็ยังมีโอกาสได้เจอกัน เราอยากให้ออกมาในทิศทางที่ดี ถ้าต่างฝ่ายยังต้องใช้สิทธิ์ทางศาล เราก็จำเป็นต้องใช้สิทธิ์ทางศาลจนกว่าจะสิ้นกระบวนการ แต่ถ้าตกลงกันได้ มันสามารถยุติได้ ไม่ให้เรื่องนี้ไปจนสุดทางได้”

“ทั้งนี้ทางรายการได้ติดต่อไปยัง “ทนายเจมส์ นิติธร แก้วโต” ที่คิดว่าสิ่งที่ “เอ๋” ฟ้องยังไม่เข้าเกณฑ์พรากผู้เยาว์ ซึ่ง “ทนายเจมส์” ให้ความเห็นว่า “กรณีพรากผู้เยาว์ ถ้ากรณีเด็กอายุไม่เกิน 18 ปีแม้จะยินยอมไปด้วยก็ตามก็เป็นความผิด อันนี้หลักกฎหมายเป๊ะๆ ประเด็นอยู่ที่ว่าพ่อแม่เขายินยอมด้วยหรือไม่ สอง ผู้ที่พรากผู้เยาว์ มีเจตนาพรากเอาไปคบหากัน เอาไปเป็นเมีย กรณีนี้มันมองดูว่าขาดเจตนาในการพรากผู้เยาว์ ก่อนหน้านี้มีคำพิพากษาคำฎีกาอยู่สองฉบับ เอามาเทียบได้ ฉบับที่หนึ่ง เป็นกรณีของพ่อแม่อนุญาตให้ผู้เยาว์ไปกับผู้อื่น ตรงนี้คบหากันเป็นแฟนกัน เอาไปเป็นเมีย แบบนี้ฎีกาบอกว่าไม่ผิด เนื่องจากขาดเจตนา กับอีกอย่างหนึ่งไปลักษณะเดียวกันเด๊ะๆ แต่ผู้ชายมีครอบครัวอยู่แล้ว กรณีนี้ศาลมองว่าคุณไม่มีเจตนาพาเขาไปอยู่ด้วย คุณมีลูกมีเมีย แบบนี้เจตนาพาไปพรากผู้เยาว์ อันนี้คือผิด ผมไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าพ่อแม่ยินยอมหรือไม่”

สองตอนพามา เขามีเจตนาพาผู้เยาวไปเพื่ออยู่กินกันหรือไม่ ไม่รู้ข้อเท็จจริง กรณีนี้เท่ากับพ่อแม่ไม่ยินยอม ไม่รู้เห็นด้วย เหมือนไปแอบมีอะไรกัน พอพ่อแม่รู้ก็มาดำเนินการที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน ประเด็นนี้น่าสนใจอย่างหนึ่ง หลังจากเขาไม่จ่ายเงิน ทำไมไม่ดำเนินคดี คำถามต่อมา จะกลายเป็นข้อต่อสู้อีกฝั่งหรือไม่ ว่าถ้าเขาไม่ฟ้องคุณในข้อหาหมิ่นประมาทคุณก็ไม่ดำเนินคดีเขาใช่มั้ย เรื่องระยะเวลา และเรื่องการไปแจ้งความถ้าเป็นแบบนี้ ถ้าเขากระทำความผิดต่อกฎหมาย ต่อเขาเอง ต่อพ่อแม่ และเป็นอาญาแผ่นดิน สามารถใช้สิทธิ์ตามกฎหมายได้ ไม่ว่ากันแต่อีกฝ่ายมีสิทธิ์ต่อสู้ได้เช่นเดียวกัน มองดูมันก็ก้ำกึ่ง กรณีพ่อแม่ตอนแรกเรามองว่าพ่อแม่ไม่ยอม เลยไปทำบันทึกที่ผู้ใหญ่บ้าน แต่พอเขาผิดสัญญาก็ไม่ได้ดำเนินการอะไรเลยอาจมองดูว่าเป็นการยินยอมโดยปริยายหรือไม่ แต่ทั้งหมดทั้งมวลเป็นความคิดเห็นของผมซึ่งเป็นทนายความ ถ้าเป็นคดีความไปแล้ว ต้องอยู่ที่ศาลเป็นผู้วินิจฉัย”

“ทนายเก่ง” ให้ความเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่ทนายเจมส์พูดว่า “เราก็มีแนวทางที่ตรงกัน ซึ่งเราเป็นนักกฎหมาย เมื่อมีการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้น ตัวแม่เขาเป็นผู้เสียหายด้วย และเป็นความผิดอาญาแผ่นดินก็ต้องไปว่ากันในกระบวนการ เมื่อวานไปแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวนรับเรื่องนี้แล้ว มีการสอบปากคำพยาน เป็นคดีแรกที่ดำเนินการ ถามว่าเอ๋กับอดีตสามีจดทะเบียนสมรสกันแล้ว หรือว่าผ่านกระบวนการแล้วหรือเปล่าจริง ๆ ประเด็นนี้พนักงานสอบสวนก็ได้วิเคราะห์เหมือนกัน ประเด็นนี้ก็สอบให้เห็นว่าการจดทะเบียนสมรสของเขาเป็นประเด็นที่ต้องไปว่ากันในศาล จริงๆ ทางเราสอบประเด็นนี้เพิ่มอยู่แล้ว”

จากนั้น “หนุ่ม กรรชัย” ได้ให้ความคิดเห็นว่า “สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ผมว่าเรื่องนี้ถ้าครูดูอยู่ ผมว่าเบาได้ก็เบา ลองไปคุยกันหลังบ้าน อย่าลืมว่าสุดท้ายสิ่งสำคัญที่สุดคือลูก การโตขึ้นไป แล้วลูกไปนั่งรับรู้ว่าพ่อฟ้องแม่ แม่ฟ้องพ่อ มันเจ็บปวด คุยกันได้ก็คุย คิดว่าจะมีการพูดคุยกันมั้ย?”เอ๋” ตอบกลับมาว่า “ฝั่งเขาดีกว่าค่ะ หนูห่วงมากๆ ค่ะ ลูกก็ถามทุกวัน (ร้องไห้) ตอนนี้ลูกก็คงนั่งดูอยู่ หนูบอกเขาว่าหนูมาทำงาน”

“หนุ่ม กรรชัย” ยังได้เตือนสติต่อว่า “วันนี้ต้องมีคนถอยสักก้าว อาจฝั่งเรา หรือฝั่งเขา ผมแนะนำครูไพบูลย์ ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่อยากให้นึกถึงหัวจิตหัวใจลูก สุดท้ายเอ๋อยากบอกอะไรครูไพบูลย์?”ด้าน “เอ๋” ก็ตอบกลับไปว่า “ไม่มีอะไรจะบอกค่ะ เพราะตลอดมาเขาก็รับรู้ หนูไม่ควรมานั่งอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำตั้งแต่แรก คุณไม่ควรนอกใจเรา ไม่ควรใส่ร้ายเรา คุณเห็นลูกมั้ย ถ้าวันนี้คุณไม่นอกใจเรา ครอบครัวเราก็คงสุขสันต์ มีความสุขเหมือนคนอื่น แต่วันนี้นอกจากครอบครัวพังแล้ว พ่อแม่ก็จะมาฟ้องกัน คุณไม่สงสารลูกเหรอ (ร้องไห้) หนูอยากฝากคลิปนี้ไว้ ถ้าลูกโตขึ้น อยากให้เข้าใจว่าสิ่งที่แม่กำลังทำอยู่ แม่ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ (ร้องไห้) แม่ขอโทษที่รักษาครอบครัวไว้ไม่ได้ (ร้องไห้) ถ้าโตขึ้น แม่คิดว่าลูกคงไม่ทำให้ผู้หญิงร้องไห้แบบนี้นะลูก (ร้องไห้)”

นอกจากนี้ หนุ่ม กรรชัย” ยังได้พูดถึงข่าวลือที่ “ครูไพบูลย์” จะฟ้องหลักตนหักหน้าผ่านรายการว่า”ส่วนตัวไม่ได้มีปัญหาอะไรหากอีกฝ่ายจะฟ้อง มันเป็นสิทธิ์ของครูไพบูลย์ ซึ่งถ้าฟ้องมาจริงตนก็ต้องรักษาสิทธิ์เช่นกันหากฟ้องก็ต้องมีการไปขึ้นศาล และหากไม่ได้เป็นอย่างที่ครูกล่าวอ้างตนก็ต้องรักษาสิทธิ์ด้วยการฟ้องกลับเหมือนกัน วันนั้นด้วยความบริสุทธฺ์ใจเราต่อสายคุยกัน ตนก็ไม่ได้ไปหมิ่นอะไร มีแค่สายหลุดไปตนก็พูดแค่ว่าหลุดแล้ว โทรศัทพ์หลุดแล้ว จึงไม่รู็ว่าจะฟ้องตรงไหน แต่มันเป็นสิทธิ์ จะฟ้องก็ไม่เป็นไร.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน

เข้าชม 1,414 ครั้ง
ดูข่าวเพิ่มเติม