“บิวกิ้น-พีพี” กระเทาะใจ “แปลรักฉันด้วยใจเธอ” แรงจนต้องมีภาคต่อ

เป็นซีรีส์ที่แรงจริง ๆ สำหรับ “แปลรักฉันด้วยใจเธอ” กับการนำแสดงครั้งแรกของ
“บิวกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล” และ “พีพี กฤษฏ์ อำนวยเดชกร” ที่ลงจอไลน์ทีวีไป 5 ตอน ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จนล่าสุดได้มีการประกาศซีรีส์ “แปลรักฉันด้วยใจเธอ Part 2” ออกมา ซึ่ง 2 นักแสดงนำอย่าง “บิวกิ้น-พีพี” เปิดใจถึงความกดดันในภาคแรก และต่อยอดความแรงในภาค 2 ให้ฟังว่า

กับความสำเร็จในซีซั่นแรกเป็นยังไงบ้าง
พีพี : อย่างที่เคยบอกไปพวกเราสองคนก็ดีใจมาก
บิวกิ้น : เราตั้งใจกันมาก พอกระแสตอบรับ สำหรับเรามันคือดีมาก ๆ มันเลยหายเหนื่อย มันพูดไม่ออก มันตื้นตัน
ที่ผ่านมาความยากของแต่ละคนอยู่ที่ตรงไหน
บิวกิ้น : จริง ๆ ของเราเคยพูดไปแล้ว ก้าวข้ามผ่านจากนักแสดงสมทบมาเป็นนักแสดงหลัก เรื่องของความรับผิดชอบ หรือสิ่งที่ต้องทำ สำหรับผมแล้วมันมากกว่าเดิมคือคูณ 10 มันเหนื่อยกว่าเดิมมาก มันกดดันกว่าเดิมมาก ด้วยความที่เป็นเรื่องของบทด้วยหมดเรื่องนี้มันมีความเป็นนามธรรมเยอะมาก ๆ มันเป็นเรื่องของมู้ดเยอะ เลยเห็นว่าบางทีเราต้องใช้การปรับจูนกับพี่บอสผู้กำกับกับทีมงานหลายๆคนเหมือนกัน
สร้างอินเนอร์จากข้างในมายังไง เพราะมีฉากร้องไห้และซีนอารมณ์ค่อนข้างเยอะ
บิวกิ้น : มันมีการเวิร์กช้อปช่วยด้วยมันเลยเหมือนทำให้เราเข้าใจอินเนอร์ของตัวละครมันทำให้เราพอไปอยู่หน้าฉากทำให้เข้าใจในสถานการณ์นั้นมากขึ้น



มันยากแค่ไหนกับการร้องไห้ทั้งที่คนอื่นยังยิ้มอยู่
บิวกิ้น : ยากครับ ผมว่าการร้องไห้ มันเหมือนกับว่าลึกกว่านั้น ว่าเราร้องไห้เพราะอะไรกินเนอะจริง ๆ มันคืออะไรทำให้การร้องไห้ ในแต่ละครั้งมันไม่เหมือนกันเพราะว่ามันถูกกระตุ้นด้วยสถานการณ์ที่ต่างกัน
แล้วในส่วนของพีพี ล่ะในบทจริตค่อนข้างไม่ธรรมดา
พีพี : มันเป็นคาแรคเตอร์ มันก็อาจจะมีของเราผสมไปด้วยนิดนึง ก็ครึ่ง ๆ แต่บางอันผู้กำกับก็เป็นคนบรีฟมา
ในแต่ละฉากจะต้องมีการคุยกันตกลงกันก่อนไหมว่าจะไปในระดับไหน
พีพี : ก็มีการคุยกันตลอดว่า ฉากนี้อารมณ์นี้ตัวละครอยู่ในระดับไหนบ้าง มันก็จะไล่ไปเลยเพราะบางซีนอารมณ์มันก็จะขึ้น ๆ ลง ๆ
บิวกิ้น : ส่วนใหญ่เราก็มีการคุยกันเรื่องของทิศทางการแสดงกับผู้กำกับและทีมงานก่อนมันก็อาจจะมีเป็นเมจิกโมเมนต์บ้าง คือไม่ได้เตรียมมาในอารมณ์ โมเม้นนั้น มันอาจจะพาเราไป กลายเป็นของแถม
ด้วยความที่ทั้งสองคนสนิทกันมากมันยากไม้กับซีนบางซีนที่เป็นดราม่าหนัก ๆ
บิวกิ้น : ผมว่าสำหรับผมมันง่ายกว่า เพราะว่าพอเราจะไปเล่นซีรีส์หรือทำผลงานเรื่องไหนก็จะมีการเวิร์กช้อป เพื่อให้รู้จักกันมากขึ้นและเข้าใจกันมากขึ้น แต่พอเราสองคนเหมือนกับมีพื้นหลังกันมาก่อน เพราะเราสองคนค่อนข้างสนิทกันและมันเล่นซีรีย์ส์เรื่องนี้ที่ค่อนข้างเป็นตัวละครที่มีความสัมพันธ์และอารมณ์มาเกี่ยวเนื่องกันเยอะสำหรับผมมันทำให้ผมทำงานง่ายขึ้นเยอะ
พีพี : ที่จริง เพราะว่าผู้กำกับด้วยเพราะเราสองคนก็ร่วมงานกับพี่บอสมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว พอมาเรื่องนี้ปุ๊บ เราก็สนิทกันอยู่แล้ว วิธีการกำกับมันก็เข้าทางกันง่ายกว่า และเราสองคนก็สนิทกันอยู่แล้วมันก็เลยเป็นการทำงานที่ง่ายขึ้น


ซีซั่นแรกเราดูแล้วชื่นชมฉากไหนของกันและกันบ้าง
พีพี : ที่จริงก็ทุกฉากนะ เพราะเราไปอยู่ด้วยกันมาเป็นเดือนเลย เราเห็นว่าเขาตั้งใจมากขนาดไหน และตัวเราก็รู้สึกภูมิใจในตัวเขานะ เราอยู่ด้วยกันไปทำงานด้วยกันทุกวันเห็นเขาตั้งใจเห็นเขาทุ่มเท เราก็ดีใจครับ
บิวกิ้น : จริง ๆ เหมือนกันนะ คือถึงเราจะไปถ่ายด้วยกัน 2 คนและมีบางซีนที่เราไม่ได้เข้าฉาก มันเป็นช่วงว่างระหว่าง คิว ๆ หนึ่ง จริง ๆ เราก็เห็นกันอยู่ตลอดซะส่วนใหญ่ หรือซีนที่เป็นซีนใหญ่ ๆ ของพีพีที่ไม่มีผม ซึ่งจริง ๆ ผมก็อยู่ตรงนั้นแหละอยู่หลังกล้องอยู่หลังมอนิเตอร์ หรือจะเป็นซีนใหญ่ ๆ ของผมเขาก็อยู่ตรงนั้นแหละเราเห็นกันตลอด เราช่วยกันตลอด
พีพี : ก็ยืนส่งอารมณ์ให้กันตลอด เราก็จะสนับสนุนกันตลอด
ระหว่างซีนโกรธกันกับเลิฟซีนอันไหนเล่นยากกว่ากัน
บิวกิ้น : ผมว่ามันแตกต่างกันนะ เพราะจริง ๆโจทย์ของการเล่นในแต่ละฉากแต่ละซีนมันจะมีเรื่องของความต่อเนื่องและพื้นหลังต่าง ๆ ที่พอเราเป็นตัวดำเนินเรื่องมันจะมีปัจจัยมากระทบต่อการแสดงคือเหมือนกับว่าเราต้องละเอียดขึ้นเยอะมาก
พีพี : บางครั้งสถานที่ด้วยบางฉากฝนตก หรือมีพายุเข้า หรือมีเหตุการณ์แดดออกร้อนมาก มันเลยแล้วแต่สถานที่ด้วย ฉากแต่ละฉากมันก็เลยยากง่ายต่างกัน ซึ่งสำหรับเราสองคนมันยากหมด
ประโยคที่ว่าเป็นแฟนกันนะมาจากในใจหรือมาจากบท
พีพี : มันเฉลยไปในตอน ep 5 แล้วไงว่ามันมาจากบท (ยิ้ม)
ในส่วนซีซั่น 2 เป็นยังไง
บิวกิ้น : เรายังคุมทีมของแปลรักฉันด้วยใจเธออยู่ แต่แปลรักฉันด้วยใจเธอในภาคนี้มันเป็นก้าวใหญ่ก้าวหนึ่ง มันเหมือนพาเราข้ามจากภาค 1 มา ภาค 2 มันอาจจะเป็นเรื่องของการเปลี่ยนชีวิตจากเด็กมัธยมเข้ามาเป็นชีวิตมหาวิทยาลัย อย่างที่บอกว่าผมรู้สึกว่าชีวิตคนคนนึงมันโตขึ้นเรื่อย ๆ อยู่แล้วแต่อันนี้มันเป็นอีกมุมนึงที่เลือกเอามาเล่าให้ฟังในภาค 2 ก็จะเป็นชีวิตในมหาวิทยาลัยกับการที่เด็กผู้ชาย 2 คนมาเป็นแฟนกันแล้วมาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ใช้ชีวิตการเรียนมหาวิทยาลัยแล้วอยู่คนละที่กัน มันจะเป็นยังไง มันจะต้องเจอปัญหาอะไรบ้าง การเข้ามาอยู่ในสังคมใหม่ มันจะส่งผลกระทบยังไงต่อจากการเปลี่ยนแปลงในสังคมเก่า
พีพี : เอาจริง ๆ พีเองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าตัวบทมันมีการเปลี่ยน พีเลยไม่รู้ว่าบทใหม่มันจะแทรกจากบทเก่าเยอะไหม หรือมันจะเพิ่มอะไรหรือลดอะไร ตัดอะไรลงไปเราก็ยังตอบไม่ได้


มีการเสนอไอเดียเพิ่มไหมกับทางผู้กำกับ
พีพี :จริง ๆ ก็มีการสัมภาษณ์เราสองคนอยู่แล้ว
บิวกิ้น : เรายังไม่ได้อ่านบททั้งหมด แต่ว่ามันจะมีครั้งหนึ่งที่เขาเอาโครงของบทมาอ่านพร้อมกัน แล้วเราก็มีการออกไอเดียว่าสำหรับพวกเราในฐานะของคนที่เล่นเป็นตัวละครนี้ในภาค 1 ถ้าเกิดว่าในมุมมองของเราในฉากแต่ละฉากมันมีโครงมา แล้วเรารู้สึกเชื่อมันไหม หรือว่าเรามีความคิดเห็นยังไง จริง ๆ ก็มีแชร์ด้วยมีเราแชร์ไปและ พี่ ๆ เขาแชร์มาก็มีการช่วย ๆ กันเพื่อให้มันออกมาได้กลมกล่อมมากที่สุดมีนาคมปีหน้า (2564) ได้เจออย่างแน่นอน
แต่ในเดือนมกราคมปีหน้าเห็นว่ามีแฟนมีตติ้งบัตรหมดแล้วภายใน 1 นาที
พีพี : เอาจริง ๆ ตกใจมากที่บัตรมันหมดภายในนาทีเดียว
บิวกิ้น : ไม่คิดเลยว่าจะได้รับกระแสตอบรับดีขนาดนี้มันก็เป็นการกดดันเราอีกในระดับนึงเพราะว่าเรารู้สึกว่าคนอยากมาดูแฟนมีตติ้งของเรามากเราเลยรู้สึกว่าเราต้องตั้งใจและไม่ทำให้เขาผิดหวัง
เตรียมอะไรไว้ให้แฟน ๆ ในงานแฟนมีตบ้าง จะมีซีนหวานบ้างไหม
บิวกิ้น : ตอนนี้ยังไม่ได้ลงตัวขนาดนั้นก็เหมือนกับภาค 2 ก็คือมีโครงมาให้ในระดับนึงและก็มีการเรียกเราเข้าไปคุยและก็แชร์ไอเดียว่าเราอยากจะหยิบอะไรไปโชว์ในงานบ้าง อยากมีส่วนไหนบ้างอยากจะเล่าเรื่องอะไรอยากจะคุยยังไงหรือว่าจะทำโชว์ยังไง
แฟน ๆ ต่างประเทศโดยที่ไม่สามารถมาร่วมงานได้ต่างโอดโอยกันสุดๆ
บิวกิ้น : เดี๋ยวจะมีช่องทางในการไลฟ์ ซึ่งถ้าซื้อบัตรแล้วก็สามารถดูกันได้ .-ไนน์เอ็นเตอร์เทน

เข้าชม 937 ครั้ง
ดูข่าวเพิ่มเติม