Exclusive Talk : ชีวิตสุดทาง บทเรียนราคาแพงของ “แพท พาวเวอร์แพท” (คลิป)

“ชีวิตจริงกว่าละคร” ประโยคนี้คงใช้ได้กับอดีตนักร้องชื่อดัง “แพท พาวเวอร์แพท” หรือ “แพท วรยศ บุญทองนุ่ม” ที่เคยอยู่จุดสูงสุดของการเป็นศิลปิน ด้วยการมีผลงานเพลงที่โด่งดังเป็นพลุแตก ก่อนที่ชีวิตที่สวยหรูจะถูกพังทลาย เพราะ “ยาเสพติด” จนต้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำนานเกือบ 17 ปี ก่อนจะได้รับการอภัยโทษออกมา


วันนี้ “แพท พาเวอร์แพท” ขอเปิดใจกับ “Exclusive Talk ไนน์เอ็นเตอร์เทน” ถึงชีวิตที่ผิดพลาด แต่ก็ได้รับโอกาสอีกครั้ง
แพทเล่าย้อนไปวันที่ได้มาเป็นศิลปิน มันเหมือนความฝันตั้งแต่เด็กถูกเติมเต็ม มีเพลง มีแฟนคลับให้การตอบรับอย่างมากมาย เรียกว่าช่วงนั้นเป็นประสบการณ์ที่เยี่ยมยอดมาก ๆ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ณ ตอนนั้น เรื่องของโปรดักชัน การทำเพลง การทำมิวสิควิดีโอ รวมถึงการได้เรียนร้องเพลง เรียนด้านต่าง ๆ ทุกอย่างในตอนนั้นเป็นสิ่งใหม่ สำหรับตนเอง และตอนนั้นตัวเองก็อายุน้อยมาก
“เพื่อน ๆ ในวงก็น่ารักทุกคน วงพาวเวอร์แพท เป็นวงด้านแฟชั่น ชุดวงเราจะอลังการมากในยุคนั้น ชุดหนัง เสื้อหนัง กางเกงหนัง ทำผมสี กว่าจะออกงาน เซ็ทหน้าเซ็ทผมกันเป็น 2-3 ชั่วโมง กว่าจะออกไปเจอคนได้ เดินไปโปรโมทที่สยามสแควร์ตอนนั้น อากาศร้อน ๆ ก็ต้องใส่ชุดหนัง เหงื่อโชก ๆ ก็ต้องเดินวนไปวนมา เพื่อโปรโมทงาน ไปเยี่ยมแผงเทป ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากแฟนคลับเยอะมากเลยตอนนั้น รู้สึกเป็นความทรงจำที่น่ารัก เขาเรียกว่า “ดีต่อใจ” ของเรามาก (หัวเราะ) เริ่มวัยรุ่นแหละ (เอาคำนี้มาจากไหน) เห็นในสติ๊กเกอร์ไลน์ (ยิ้ม)”

จุดเปลี่ยนชีวิตที่ลงตัว สวยหรู เกิดจากที่ตนรู้สึกว่า อยู่ตัวคนเดียว คุยกับใครก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง มันเป็นความคิดที่ว่าอาจจะมาจากบุคลิกของตัวเองที่เป็นคนค่อนข้างเงียบ ไม่กล้าพูดหรือปรึกษาปัญหาอะไรใคร เรียกว่าเป็นเด็กเก็บกด เลยทำให้ถลำเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดได้
“ตอนนั้นถึงเราจะมีคนที่ห้อมล้อมเรามากมาย แต่เรารู้สึกโดดเดี่ยวมาก รู้สึกว่าไม่มีใครรับฟังเราได้จริง ๆ ซึ่งตอนที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด มันก็ทำให้คุณภาพการทำงานของเราแย่ลง จนมีช่วงหนึ่งที่ไม่มีงานเลย แต่เราก็ยังใช้ชีวิตแบบนั้น เพราะเรารู้สึกหลงใหล ติดใจไปแล้ว ตอนนั้นกู่ไม่กลับแล้ว เรียกว่าหลงแสงสี ชื่อเสียงก็ได้”


จากวันที่รุ่งโรจน์มากที่สุด กลับต้องก้าวเข้าสู่เรือนจำ ตอนนั้นตนรู้สึกเลยว่า ชีวิตหมดแล้ว อนาคต อาชีพ สิ่งที่รัก มันพังพินาศไปหมด สิ่งที่เราฝัน มันหมดไปแล้ว มันต้องอยู่กับชีวิตจริง อยู่กับการชดใช้ อยู่กับสิ่งที่กระทำ ซึ่งตอนนั้นไม่รู้เลยว่าจะต้องเจออะไรบ้าง มืดแปดด้าน ยังชาอยู่เลย ไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไง ต้องเจออะไรต่อไป
“ชีวิตผมเป็นอะไรที่มันค่อนข้างสุด ในหลาย ๆ มุม หลาย ๆ ด้าน ขึ้นสุด ลงสุดมากเลย มันก็แปลกนะ สำหรับชีวิตคนหนึ่ง ผ่านอะไรมาเยอะมาก ถามว่าก้าวแรกที่เข้าไป ความกลัวกับความเสียใจ รู้สึกอะไรมากกว่ากัน ผมว่าเสียใจ เสียใจที่ตัดสินใจผิดพลาด เสียใจที่ทำให้ครอบครัว มีภาระลำบาก ทำให้คนที่รักเราผิดหวัง พอเข้าไปก็ต้องใช้เวลา 2-3 เดือน เพื่อปรับตัว เพราะทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปในชั่วข้ามคืน พลิกไปหมด ทุกอย่างที่เราอาจจะไม่ชอบก็ต้องเจอหมดทุกอย่าง แต่เราก็ต้องอยู่กับมัน
เราผ่านตรงนั้นมาได้ เพราะว่าพยายามที่จะเก็บกู้ชีวิตของตัวเอง พอรู้ตัวว่ามันผิดมันพลาด ชีวิตเราพังไปแล้ว ก็รีบที่พยายามเก็บกู้มันขึ้นมา ด้วยสิ่งที่เราพอจะทำได้ในนั้น คือเราจุดความหวังของเราขึ้นมาใหม่ แม้ต้องใช้ระยะเวลานานแค่ไหน ก็ต้องเริ่มทำตั้งแต่รู้ตัว
สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าอยากที่จะกู้ชีวิตคืน ทั้งที่มันพังไปหมดแล้ว อาจจะเป็นเพราะสิ่งที่เรารัก เช่น งานเพลง งานดนตรี เราถามตัวเองอยู่ตลอดว่า เราอยากเป็นนักดนตรี อยากเล่นดนตรี อยากจะใช้ชีวิต เมื่อออกมาเพื่อเล่นดนตรี เราต้องประคองชีวิตให้อยู่รอด ถ้าเราเป็นอะไรไประหว่างทาง สิ่งที่เราเป็น สิ่งที่เราฝันมันก็จะไม่สำเร็จ งานเป็นอีกหนึ่งกำลังใจทำให้เข้มแข็ง ทั้งดนตรี ทั้งศิลปะ เรียกว่าเป็นผู้มีพระคุณของผม อีกส่วนหนึ่งก็เรื่องของคนที่รักเรา ทั้งครอบครัว พ่อแม่ แฟนคลับ พี่ ๆ เพื่อน ๆ ที่ยังเชื่อมั่นในตัวเรา สิ่งนี้เป็นกำลังใจที่เยี่ยมยอด สำหรับผมเหมือนกัน”

บทเรียนที่สอนมาตลอดการเข้าไปอยู่ในเรือนจำนาน 17 ปี คือ สำหรับคนเราสิ่งนอกกาย ก็คือสิ่งมายา สิ่งลวง ทุกคน พอถึงจุดหนึ่งก็เท่าเทียมกันหมดแหละ เป็นมนุษย์ ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น คนรวยคนจน แตกต่างที่มาก็จริง แต่สิ่งที่มีเหมือนกันก็คือ ชีวิตเดียว จริง ๆ แล้วชีวิตคนเราไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย พออยู่ในนั้นทำให้ได้รู้ สอนว่า ชีวิตคนเราจะไขว่คว้าหาอะไรที่ทำให้เกิดความโลภและทำร้ายตัวเองไปทำไม ทั้งที่มีอยู่แค่นี้ก็ได้ ไม่เห็นตาย พอออกมาเลยไม่ได้มองเรื่องของเงิน ทรัพย์สิน ชื่อเสียงนอกกายเป็นหลัก แต่ตนมองเรื่องของความสุข ความสบายใจเป็นหลัก
“วันที่ก้าวเข้าไปกับวันที่ก้าวออกมา ความรู้สึกมันแตกต่างมาก ต่างสุด ๆ เลย เราออกมา มีครอบครัว มีคนมารอรับ ทุกคนรักเรา และอ้าแขนมารอรับเรา ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น ผมรู้สึกเกินคาด เกินฝันกว่าสิ่งที่คิดไว้เยอะมาก ต้องขอขอบคุณทุกคนด้วย ทั้งแฟนคลับและทุกคนในประเทศไทย ที่เปิดใจรับผมและให้โอกาสผม
วันที่ก้าวออกมา มันเหมือนวันที่เราเฝ้ารอมาถึงสักที เกือบ 17 ปี มันนานมาก มันเหมือนฝันที่เป็นจริง เหมือนชีวิตใหม่ เหมือนโลกใหม่ สำหรับเราด้วย มันหายใจได้เต็มปอด ผู้คนบรรยากาศมันดีไปหมด พอเราผ่านจุดนั้นมา มันดีงาม เรามีความสุขกับจุดเล็ก ๆ ที่คนทั่วไปอาจมองไม่เห็น ผมแค่นั่งรถไปได้มองข้างทาง มองชีวิตผู้คน ได้มองอะไรไกล ๆ เรามีความสุขแล้ว ได้มองสิ่งที่เราไม่ได้เห็นมานาน เราอยู่แต่กรอบสี่เหลี่ยมแคบ ๆ มานาน”

ตอนนี้กลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม ชื่อเสียงความนิยมที่พุ่งเข้ามา แสงสีเสียง กลัวไหมว่าจะกลับไปอยู่ในจุดเดิม แพทบอกว่า ไม่กลัว เพราะว่าตอนที่อยู่ข้างใน ได้รู้สัจจธรรมในชีวิตด้วยตัวเอง อย่างชัดเจนมาก ๆ ว่าสิ่งเหล่านี้มีมาก็มีไป มันไม่ได้ทำให้ตื่นเต้นหรือหลงลำพองอะไรในตัวเองเลย
“ทุกสิ่งทุกอย่างมี 2 ด้านเสมอ มันมีดีมีแย่ อยู่ที่เราเลือกมองมากกว่า คนที่เคยกล่าวพลาด ก็ไม่ใช่จะก้าวพลาดไปตลอด ถ้าเราพิจารณามีสติ ในการกระทำว่าสิ่งที่มันผิดพลาดไป มันเกิดเพราะอะไร ค่อย ๆ หาเหตุและผลมัน แล้วก็ไปแก้ไขมัน ตรงนี้ผมว่า มันน่าจะดีกว่าที่จะมาจมกับอดีต หรือว่าโทดตัวเอง คนเราทำผิดพลาดได้ทุกคนแหละครับ ชีวิตมนุษย์ อย่าไปยึดติด อย่าไปหลงกับมัน วันหนึ่งมันมา มันก็ไป เดี๋ยวไปเสร็จแล้วมันก็มา มันก็เวียนอยู่อย่างนี้เท่านั้นเอง แต่สิ่งที่อยู่ติดตัวคือ ความดี” .-ไนน์เอ็นเตอร์เทน


เข้าชม 179 ครั้ง
ดูข่าวเพิ่มเติม