เปิดใจครั้งแรก! “จี๊บ เทพอาจ” รับจบ “บอย โกสิยพงษ์” ไม่สวย ทะเลาะกัน 2 ปีไม่มีใครรู้ เผยจุดแหกหักเพราะมีคนอื่นเดือดร้อนด้วย

ตั้งแต่เป็นข่าวช็อกวงการเพลงกับการที่นักร้องนักแต่งเพลงชื่อดัง “บอย โกสิยพงษ์” ประกาศยุติบทบาททั้งในฐานะผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัท เลิฟ อิส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ตั้งแต่วันที่ 10 ก.ย.2563 ที่ผ่านมา หลังก่อตั้งมานานกว่า 15 ปี พร้อมลาออกและโอนขายหุ้นทั้งหมดให้นักธุรกิจราชาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ “จิ๊บ เทพอาจ กวินอนันต์” เข้ามาบริหารแทน โดยที่ทั้ง 2 ฝ่ายไม่เคยได้ออกมาพูดถึงการเปลี่ยนขั้วบริหารแบบกะทันหัน มีเพียง “บอย” ที่ให้สัมภาษณ์กับข่าวสดออนไลน์เพียงสั้น ๆ ว่า “ทุกอย่างเป็นการตกลงกันไปเรียบร้อยแล้ว และมันก็จบกันไปเรียบร้อยแล้ว อยากให้มองไปข้างหน้าดีกว่า” และไม่ได้ลงรายละเอียดใด ๆ เพิ่มเติม ล่าสุด “จี๊บ เทพอาจ” ผู้บริหารค่าย เลิฟ อิส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัดเปิดใจในรายการ Woody FM ยอมรับว่าจบกับเจ้าของค่ายเก่าไม่ดี ทะเลาะนาน 2 ปี ไม่มีใครรู้


โดย “จิ๊บ” เล่าว่า “ถ้าพูดอย่างสุภาพก็ซื้อหุ้นแล้วแยกย้ายกัน ในอารมณ์ที่คงไม่ค่อยบวกนัก มันถึงได้ไม่มีข่าว ไม่มีใครให้ข่าวอะไร ถ้ามันจากกันด้วยดีก็คงเป็นข่าวที่มันบวกกว่านี้เยอะ แต่มันอยู่ดี ๆ ก็ดีดนิ้วเลยแล้วกลายเป็นผมมาทำ แน่นอนมันก็คงต้องมีอะไรอยู่ในนั้น หลังเกิดเรื่องไม่มีโอกาสได้เจอกันเลย ต่างคนก็ต่างไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขของแต่ละคน ผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น ตั้งแต่เข้ามาตอนแรก ส่งคนมาช่วยฟรี แปลว่าเขาส่งคนมาแล้วผมจ่ายเงินเดือน ให้ช่วยอย่างเดียวไม่ได้คิดมาก อยากช่วยจริง ๆ วันนั้นพี่นภ พรชานิ บอกว่าพี่บอยจะเลิกแล้ว ผมก็เฮ้ย ผมรักเพลงเบเกอรี่ ผมรัก LOVEiS จะเลิกอะไร เขาบอกว่าไม่ไหวแล้ว ไม่อยากทำต่อ ผมเลยบอก เอางี้ เดี๋ยวผมเข้าไปช่วยแล้วกัน ช่วยสักพัก เริ่มมีสัญญาณว่ามาหุ้นกัน ผมบอกว่าได้ ผมขอหุ้น 1% เปอร์เซ็นต์ ผมถามก่อนเลยว่าเป็นธุรกิจที่พี่จะให้ลูกหลานหรือเปล่า ผมมีธุรกิจ ผมเข้าใจ ถ้าพี่จะเก็บไว้ให้ลูกให้ภรรยาผมไม่อยากยุ่ง เขาก็ตอบว่าไม่ ไม่มีใครสนใจ และให้ผมเข้ามาหุ้น งั้นผมขอหุ้นเปอร์เซ็นต์เดียว ผมจะได้รู้สึกมีความเป็นเจ้าของ แต่ไม่ได้อยากไปเบียดเบียนพี่ ไม่ได้ต้องหุ้นกันครึ่ง ๆ 50/50 ยังไงก็ได้สำหรับพี่ แต่ครึ่ง ๆ เวลามีปัญหาจะลำบาก สิ่งที่ผมกังวลคือ ลำบากกันสองคนไม่ว่า อย่าให้คนอื่นลำบากด้วย ผู้ใหญ่ทะเลาะกันอย่าให้เด็กกระเทือนด้วย แต่วันนั้นที่จำเป็นต้องขนาดนั้น เพราะเด็กเริ่มลำบากด้วย พอมันไม่ลงล็อกกัน ทำให้เด็ก ๆ ได้รับผลกระทบเรื่องเงิน เรื่องนู่นนี่ ผมก็ถึงจุดโมโหเหมือนกัน เราทะเลาะกันก็เป็นเรื่องของ 2 คน ทั้งพนักงาน ทั้งศิลปินเกี่ยวอะไร อย่าทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน เลยมาว่ากันว่าทางออกจะไปทางไหน ก็คุยกันอยู่ประมาณ 2 ปี อยู่ในภาวะนั้น 2 ปี ไม่มีใครรู้”

“ถ้าคุยดี ๆ มันง่ายมากเลย แต่บังเอิญมันมีมือที่ 3 ที่ไม่เกี่ยวข้องเขามา พอเอาคนนี้เข้ามาทุกอย่างพัง เวลาผมอยู่กันสองคนผมคุยหัวเราะเล่นกันด้วยซ้ำ แม้แต่ตอนทะเลาะกันก็หัวเราะกันได้ แต่ทุกอย่างดีเสมอ สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ 50/50 ไม่มีอีกแล้ว และเรียนรู้ว่า ผมเปลี่ยนคนทุกคนบนโลกไม่ได้ ถึงแม้เราจะพยายามแค่ไหนก็ตาม เพราะฉะนั้นเปลี่ยนตัวเองก่อน ให้ไม่มีนิสัยไปชอบเปลี่ยนคน พอรู้สึกอย่างนั้นได้ มันก็ง่ายขึ้นกับชีวิต รู้สึกถอยลงมา แปลว่าไม่มีความคาดหวังในคนที่เราทำงานด้วยมากขนาดนั้น ถามว่าถึงวันนี้อยากให้ LOVEIS ในฝันเป็นอย่างไร เราเปลี่ยนจากคำว่า LOVEIS เป็น LOVEIS Entertainment นั่นแปลว่าเราควรจะมีฟังก์ชั่นอื่น ๆ ในการเอ็นเตอร์เทนคน ไม่จำกัดเฉพาะเพลง จริง ๆ ให้คอนเซ็ปต์ทีมงานไปแล้วว่าภายใน 5 ปีนี้ ต้องมากกว่าเรื่องเพลงไม่ว่าจะมุมใดมุมหนึ่งที่เกี่ยวกับวงการบันเทิง และเรากำลังเตรียมตัวเปิดมูลนิธิ LOVEIS Music Foundation ให้คนมาเรียนดนตรีฟรี ผมรู้สึกว่าเมืองไทยการเรียนดนตรีมันยาก มันแพงเหลือเกิน เด็ก ๆ ที่ไม่มีเขาเข้าไม่ถึง ผมก็เลยรู้สึกว่ามูลนิธิอันนี้ที่เราจะทำขึ้นมามันควรจะเกี่ยวกับสิ่งที่เราถนัด และคิดว่าการสอน การให้เครื่องดนตรี การบริจาคอะไรต่าง ๆ มันยืนยาวได้ เมื่อเราส่งเสริมเรื่องพวกนี้ให้แก่เยาวชน เขาจะเป็นรากฐานให้แก่รุ่นต่อ ๆ ไปในการรักศิลปะชนิดนี้ เริ่มจากเรานี่แหละที่ลงไปก่อน ครั้งต่อไปก็จะเปิดว่าใครอยากจะร่วมให้กับมูลนิธินี้ ก็จะมีที่เรียนฟรี แต่เราจะจ่ายให้กับครูที่มาสอนในราคายุติธรรม ครูที่มาสอนต้องแฮปปี้ที่จะมาสอน เอาแค่ในค่ายเราก็อาจารย์เต็มไปหมดแล้ว นอกค่ายอีกเต็มไปหมด นักดนตรีที่เล่นตามผับ ๆ บางคนเป็นอาจารย์ แต่ไปเล่นทีค่าแรง 300-800 ขึ้นอยู่กับจังหวัดที่คุณไปเล่น ถ้าเรายกระดับพวกนี้ขึ้นมาได้ ทำให้เขารู้ว่านอกจากพวกเขาจะเล่นตามผับแล้วการที่เขามาสอนเป็นอาจารย์มันเปิดกว้างให้ลูกศิษย์มองเข้ามา ให้เขารู้สึกภูมิใจในอาชีพของเขาเอง ได้เงินที่เหมาะสม และคนที่มาเรียนไม่จำเป็นจะต้องมีสตางค์ ขอให้มีความกระหาย อยากรู้เรื่องดนตรี อยากเล่นดนตรี เล่นแล้วชอบหรือไม่ชอบค่อยว่ากัน เปิดประตูให้เขาก่อน ตอนนี้เราจดทะเบียนเรียบร้อยแล้ว กำลังจะเปิดอย่างเป็นทางการ คิดว่าอีกประมาณ 1-2 เดือนนี้ เราจะไปตั้งหลักแรกที่ลิโด้ เราก็จะขอมุมนึงทำเป็นโรงเรียนสอนครับ”.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน

เข้าชม 5,431 ครั้ง


ดูข่าวเพิ่มเติม