เชื่อในความบริสุทธิ์ใจเสมอมา นักแสดงรุ่นใหญ่ “ปราปต์ ปราปต์ปฎล สุวรรณบาง” ที่ล่าสุดอัปเดตคดีของตนและภรรยา “กู๋กี๋ ภคมน สีลุน” หลังตกเป็นผู้หาคดีแชร์ลูกโซ่ Forex-3D “ปราปต์” เผยว่า ตอนนี้อยากให้ถึงวันพิพากษาสักที ด้วยความที่ภรรยาเป็นจำเลยที่ 21 และที่ผ่านมาได้ฟังการสืบพยานโจทก์ 80% ไม่ได้มีใครพูดพาดพึงถึงเลย พูดถึงเพียงแค่จำเลยคนแรก ๆ ถึงแม้ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา “กู๋กี๋” ที่มีภาพกับอดีตสามีผู้ที่ทำธุรกิจ “อภิรักษ์ โกฎธิ” ผู้บริหาร Forex-3D เขาจึงโดนไปด้วย สุดท้ายตนก็อยากให้ความยุติธรรมเกิดขึ้น เพราะจากที่ฟังการสืบพยานยังไม่เห็นว่าทำอะไรผิดเลย โดยกระบวนการตอนนี้ กำลังสืบพยานโจทก์ ต่อด้วยการสืบพยานจำเลย และต้องรอการสืบพยานจบก่อนจะมีคำพิพากษา
ตลอด 2 ปีกว่า ตนเข้าไปเยี่ยม “กู๋กี๋” ทุกครั้งที่มีเวลา ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวันทำเอกสารเพื่อเข้าไปเยี่ยมเพียงวันละ 15 นาที ไปเยี่ยมแต่ละครั้งแทบจะไม่ต้องพูดกัน เพราะการกระทำมันสำคัญที่สุด ตอนนี้ถูกมัดรวมกล่าวหาโดยที่ไม่รู้ว่าทำอะไรผิด ซึ่งตอนนี้กำลังพิสูจน์ตัวเองอยู่ ตนเข้าไปเยี่ยมทุกวันคือเข้าไปให้กำลังใจ และตนเองก็ได้รับกำลังใจกลับมาด้วย ความเชื่อมั่นในตัวเขา ก็มาพร้อมกับอุปสรรคมากมาย หนึ่งอย่างคือการถูกกล่าวหาว่าฟอกเงิน กว่า 2 ปี ตนมองว่าเป็นวิบากกรรม แต่ในเมื่อเชื่อมั่นใจตัวเขาแล้ว ถ้าไม่อยู่ข้างแล้วใครจะอยู่ ถ้าตนปล่อยมือแล้วเขาจะสู้ยังไง ไม่ได้ว่าจะต้องรอไปกี่ปี ตนรอแค่การพิสูจน์ของหลักฐาน เพราะมันสำคัญกว่าการอธิบาย ที่บอกว่า เวลาที่เหลือของชีวิตที่ทำให้เขา ขอยืนยันว่าตอนนี่กำลังทำอยู่
ในส่วนของ “ปราปต์” ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่าฟอกเงิน อันเป็นคดีอาญา โดยคดีหลักมาจากการฉ้อโกงในคดีแรก ซึ่งคดีแรกในสำนวนของ DSI ที่ส่งไปยังอัยการ ตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเลย แล้วสิ่งที่ไปแตะคือการขับรถจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง แต่เขาเชื่อว่าเป็นการเพราะปกปิดทรัพย์ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีการแจ้งผู้ต้องหาหลักในคดีฟอกเงินเลย ตนก็รายงานตัวทุกเดือนเกือบ 2 ปี ก่อนจะเผยว่าตนพร้อมพิสูจน์ตนเองเต็มที่และยืนยันคำเดิมว่าไม่ได้ทำผิด หวังว่าความบริสุทธิ์ของตนจะปกป้องตัวเอง
ผลกระทบหลักที่เกิดขึ้นใน 2 ปีนี้คือตนว่างงาน นอกจากจะมีงานต่างประเทศนาน ๆ ครั้ง ที่ผ่านมาถูกถอดจากละครเวที-ละครทีวีหลายเรื่อง ถูกเปลี่ยนตัวนักแสดงใหม่ แต่ตอนนี้ผู้ใหญ่หลายคนก็รอให้เรื่องมันจบ พร้อมยื่นโอกาสในการทำงานมาให้ตลอดเวลา ตนเชื่อว่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นมันต้องก็ต้องจบ เพราะอะไรที่เป็นข้อเท็จจริงมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ มันมีหลักฐานทั้งหมด เชื่อมั่นว่าตนทำอย่างบริสุทธิ์ใจและเปิดเผย ก่อนจะทิ้งท้ายว่า ตนถูกจองจำในสังคมมากว่า 2 ปี แต่ก็ไม่อายที่จะบอกว่าไปเยี่ยมภรรยา ไม่อายที่จะบอกว่าภรรยาอยู่ในเรือนจำ เพราะตนเชื่อว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ส่วนเรื่องครอบครัวอดีตที่ผ่านมาว่ามีข่าวว่าตนทิ้งลูกทิ้งเมีย โดยอดีตภรรยา-แม่ยายเป็นผู้ให้ข่าว “ปราบต์” ก็ได้อธิบายให้กับลูกชายที่ไม่รู้เรื่องได้ฟังแล้ว และตนก็สอนให้ลูกรักและเคารพแม่และยายเขาเสมอ ที่ไม่ออกมาพูดเพราะข่าวจะออกไปทำร้ายคนที่ตนรัก ตนจึงแยกแยะถึงประโชยน์ต่อผู้เสพข่าว เพราะข่าวไม่ได้ทำให้สถาบันของครอบครัวแข็งแรงขึ้น .-ไนน์เอ็นเตอร์เทน