การที่หนังได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ ไม่ใช่แค่เครื่องการันตีว่าหนังเรื่องนั้นๆ มีคุณภาพ แต่ยังช่วยทำให้รายได้กระเตื้องขึ้นทันตาเห็นอีกด้วย บรรณาธิการของสื่อดัง The Hollywood Reporter เผยว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา หนังชิงออสการ์ที่เข้าฉายช่วงเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม จะเริ่มต้นจากการเปิดตัวแบบจำกัดโรง ก่อนขยายจำนวนโรงให้มากขึ้น หากหนังเรื่องนั้นๆ มีชื่อเข้าชิงออสการ์ ยกตัวอย่าง The Shape of Water ที่เข้าฉายช่วงต้นเดือนธันวาคม แบบจำกัดโรง แต่พอหนังนำโด่งมีลุ้นถึง 13 สาขา ผู้สร้างอย่าง Fox Searchlight ก็เพิ่มจำนวนโรงฉายเป็นเท่าตัว จนตอนนี้หนังทำรายได้เฉพาะในอเมริกาถึง 111 ล้านเหรียญ หรือกว่า 3600 ล้านบาทแล้ว แต่ดูเหมือนว่าการเพิ่มจำนวนโรง จะไม่ตอบโจทย์เท่ากับการทุ่มเงินอัดฉีดโฆษณาในช่วงโค้งสุดท้าย ซึ่งมันส่งผลดีอย่างมากกับหนังอินดี้ทุนต่ำที่การเข้าชิงออสการ์จะทำให้ผู้ชมหันมาสนใจเรื่องนั้นๆ มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยกตัวอย่าง Three Billboards Outside Ebbing Missouri ที่อินดี้จ๋า แต่พอหนังมีลุ้นรางวัลใหญ่บนเวทีออสการ์ ก็สามารถเข้าฉายในวงกว้าง ทั้งยังกวาดเงินทะลุ 100 ล้านเหรียญอีกต่างหาก เช่นเดียวกับหนัง Darkest Hour ที่ทำรายได้ 58 ล้านเหรียญในอเมริกานับตั้งแต่มีชื่อเข้าชิง โดยผู้สร้างยังหมายมั่นปั้นมือว่า หนังเรื่องนี้จะไปได้สวย หลังจากเข้าฉายที่ญี่ปุ่น ปลายเดือนมีนาคมนี้ เนื่องจากช่างแต่งหน้าชาวญี่ปุ่น คาซูฮิโร่ Tsuji ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก กับการแปลงโฉม แกรี่ โอลด์แมน ให้กลายเป็นนายกรัฐมนตรี วินสตั้น เชอร์ชิล จนมีลุ้นออสการ์ในสาขา แต่งหน้ายอดเยี่ยมเช่นกัน ส่วนหนังเรื่อง The Post ของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ก็ทำรายได้ไม่เลว คือ 146 ล้านเหรียญ แต่ที่เรียกว่าฮิตลอยลำมาตั้งแต่เข้าฉาย ก็หนีไม่พ้น Dunkirk และ Get Out ที่ยังสามารถเกาะกระแสออสการ์ มาทำให้ยอดขาย ดีวีดี และการดาวน์โหลดออนไลน์ พุ่งขึ้นได้ด้วย
หนังเข้าชิงรางวัลออสการ์ กวาดรายได้เพิ่ม
เข้าชม 16 ครั้ง